กาญจนบุรี : ใครๆ ก็ไปกัน : ไหว้พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐ

 

กาญจนบุรี …. นั่นมีอะไร ทำไม ใครๆ เขาก็ไปกัน  

อยากรู้กันอะป่าว ??

เพราะฉะนั้นทริปนี้จะพาทุกคนไปเที่ยวกาญจนบุรีกันแบบอัดเต็มไปด้วย 

ความสนุก ความชิล และได้บุญด้วยนะเออ 

 

ทริปนี้นุ้ยบินตรงจากภูเก็ต เข้าสู่กรุงเทพด้วยสายการบินนกแอร์  

วันนี้นุ้ยมาก่อนเวลาเยอะเลย  แม้ว่าจะเช็คอินออนไลน์มาแล้ว 

ซึ่งการเช็คอินออนไลน์ สามารถเช็คอินได้ทาง  www.nokair.com  หรือ  Nok Air Application 

แต่ถ้าใครไม่ได้เช็คอินมาก่อน อย่าลืมนะว่า เคาน์เตอร์เช็คอินปิด 45 นาที  (สำหรับเส้นทางในประเทศ) ก่อนเครื่องออก 

แต่ถ้าไม่มีสัมภาระ ออนไลน์ สะดวกสุดเลยละ 

 

 

ไฟท์นี้นุ้ยบินกับนกสีฟ้า ลำนี้ชื่อว่า นกน่านฟ้า  

 

 

 

 

 

 

 

 

จากภูเก็ตเข้า กรุงเทพ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที หลับยังไม่เต็มตื่นก็ถึงแล้ว 

 

นุ้ยจะเป็นพวกสัมภาระเยอะ เพราะเดินทางครั้งหนึ่ง หลายวันติดต่อกัน (ก็ชีวิตมันคือการเดินทางนี่เนอะ )

การเช่ารถจึงเป็นสิ่งที่สะดวกที่สุดสำหรับนุ้ย เหมือนเดิม เจ้าเก่า เจ้าเดิม 

สำหรับสาขาดอนเมืองเคาเตอร์จะอยู่ที่เทอมินอล 2  ออกมาปุ๊บก็เจอเลยค๊า 

ลองเช็คข้อมูลรถ โปรโมชั่นกันก่อนได้เลย   http://www.avisthailand.com/TH/

แนะนำว่าจองล่วงหน้าจะถูกกว่าเยอะ 

 

 

เป้าหมายแรกของทริปนี้คือ  พุทธอุทยานพระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์ในพระบรมราชินูปถัมภ์   ที่วัดทิพย์สุคนธาราม

เขาเล่าว่าถ้าได้ไปกราบสักการะ  ชีวิตจะพบกับความร่วมเย็นเป็นสุข

ได้ยินแบบนี้ ไปถึงกาญจนบุรีทั้งที จะพลาดได้ไง จริงมั๊ย   

พุทธอุทยานพระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์ในพระบรมราชินูปถัมภ์

ตั้งอยู่ที่ ตําบลดอนแสลบ อําเภอหวยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี

การเดินทาง 

ใช้เวลาเดินทางจากกกรุงเทพประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าเท่านั้น สามารถไปได้ 2 เส้นทาง 

 เส้นทางที่ 1 เริ่มต้นที่ทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 หรือถนนกาญจนาภิเษกด้านตะวันตก ผ่านอำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 340 จนถึงอำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี จากนั้นจึงเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 324 จนถึงอำเภออู่ทอง จึงเลี้ยวไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3342 ประมาณ 18 กิโลเมตร ก็จะพบกับทางเข้าวัดทิพย์สุคนธาราม

เส้นทางที่  จากกรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าสู่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 346 ผ่านอำเภอกำแพงแสน ไปจนถึงหลวงแผ่นดินหมายเลข 324 จนกระทั่งถึงทางแยก อู่ทอง-บ่อพลอย จึงเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3342 อีกประมาณ 18 กิโลเมตร จะพบกับทางเข้าวัดทิพย์สุคนธาราม

บริเวณนี้เป็นหน้าประตูทางเข้า 

 

ก่อนจะเข้าไปเที่ยวชมกันแบบจริงๆ จัง 

ขอเล่า ประวัติ กันก่อนสักนิด  

พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์  เกิดจากความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา

ของสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) พระนักปราชญ์ที่มีศักยภาพสูงรูปหนึ่งของวงการคณะสงฆ์ไทย

อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม และอดีตเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามที่จะสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ สูง 32 เมตร

สื่อถึงอาการแห่งกายครบบริบูรณ์ทั้ง 32 ประการ ของมนุษย์ บนเนื้อที่กว่า 320 ไร่ ณ วัดทิพย์สุคนธาราม

พร้อมไปกับการเป็นศูนย์รวมจิตใจและบำรุงขวัญพุทธศาสนิกชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้ ให้ยั่งยืนสืบไป

โดยท่านได้ให้นามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์”

อันเป็นนามที่มีความหมาย 3 ประการ คือ

  1. เป็นพระพุทธรูปซึ่งเป็นที่พึ่งของประชาชนชาวไทยและชาวโลก
  2. เป็นพระพุทธรูปซึ่งเป็นที่พึ่งของสามโลกได้แก่ โลกสวรรค์ โลกมนุษย์และยมโลก
  3. เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึง พระพุทธรูปแห่งบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน

 

ด้วยเห็นว่า “ประชาชนที่อาศัยโดยรอบบริเวณพื้นที่ดังกล่าว ต่างประกอบอาชีพเกษตรกรรม  แต่ฟังมาแล้วฝนไม่ตกหลายปี

การขนส่งบรรทุกน้ำมาใช้ก็เป็นเรื่องยาก และใช้เงินมากพอสมควร ได้ฟังมาว่าเนื้อที่ตรงนี้ดี แต่กักเก็บน้ำไม่อยู่

ก็คิดว่าหากเราสร้างพระพุทธรูปสักองค์ก็ต้องสร้างเป็นปางคันธารราฐหรือปางขอฝน บางทีอาจจะช่วยให้ฝนฟ้าตกได้ ”

เจ้าประคุณสมเด็จฯ ใช้เวลาหลายปีในการบอกอนุโมทนากับผู้ใจบุญ และศิษยานุศิษย์

โดยได้ลงมือปั้นหุ่นจำลองพระต้นแบบด้วยตนเอง

รวมทั้งเดินทางไปดูการเตรียมพื้นที่ก่อสร้างอย่างสม่ำเสมอ แม้แต่ในช่วงที่อาพาธอยู่

เนื่องจากมีปณิธานอันแน่วแน่ว่า หลวงพ่อพระพุทธเมตตาฯ

จะสร้างความสุขให้แก่ชาวบ้านให้มีฝนตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์
 
ด้วยพระพุทธานุภาพแห่งพระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์

ในวันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2553 (วันวิสาขะบูชา) สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

ได้เสด็จพระราชดําเนินไปในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และทรงสดับพระธรรมเทศนา ณ วัดชนะสงคราม

สมเด็จพระมหาธีราจารย์  จึงได้ถวายพระพรถึงเรื่องความตั้งใจที่จะสร้างพระพุทธรูปดังกล่าว

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงรับเป็นพระราชธุระ ที่จะทรงช่วยให้สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม

ต่อมา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณรับโครงการฯ ไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์

ในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2554 เพื่อเป็นการรำลึกถึงสมเด็จสมเด็จพระมหาธีราจารย์

ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มแนวคิดที่จะสร้างพระพุทธรูปองค์นี้โดยดำเนินการภายใต้ชื่อ

“โครงการจัดสร้างพระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์ ในพระบรมราชินูปถัมภ์”

นับจากนั้น โครงการจัดสร้างพระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์ ในพระบรมราชินูปถัมภ์

จึงได้ดำเนินการสืบเนื่องมาโดยลำดับ โดยการดำเนินงานนั้น

ได้รับเกียรติจาก พลอากาศตรี อาวุธ เงินชูกลิ่น อดีตอธิบดีกรมศิลปากร และศิลปินแห่งชาติ

เข้าร่วมเป็นประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการฯ และประธานคณะกรรมการฝ่ายออกแบบ

ในการกำหนดผังบริเวณ กลุ่มอาคารประกอบต่างๆ

รวมถึงรูปแบบองค์พระที่ดำเนินการตามต้นแบบพุทธลักษณะเดิมที่สมเด็จพระมหาธีราจารย์ริเริ่มไว้ 

ซึ่งยังคงรับอิทธิพลจากรูปแบบศิลปะคันธารราฐของพระพุทธรูปศิลาจำหลักนูนสูง

บนเพิงผาที่บามิยันประเทศอัฟกานิสถานไว้อย่างครบถ้วน

โดยมีลักษณะเป็นพระพุทธรูปทรงประทับยืน (สมภังคะ) ครองจีวรห่อคลุมพระหัตถ์

แสดงปางขอฝนด้วยการยกพระหัตถ์ขวาขึ้นหันฝ่าพระหัตถ์ออกในระดับพระอุระ (อก)

เป็นกิริยากวักเรียกฝน พระหัตถ์ซ้ายยกหงายขึ้นในระดับพระโสณี (สะโพก) เป็นกิริยารองรับน้ำฝน

ที่มีลักษณะทางกายวิภาคที่เหมือนจริงตามธรรมชาติที่งดงามที่สุดองค์หนึ่งในราชอาณาจักรไทย

——————

ทั้งนี้ขณะที่เราเข้าชมนิทรรศการ จะมีวิทยากรเล่าประวัติให้เราฟัง ตั้งแต่ต้นจนจบ

แต่เพื่อความไม่คลาดเคลื่อนของข้อมูล นุ้ยจึงได้นำประวัติข้อมูลมาจากเว็บ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

(ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.crownproperty.or.th/)

 

 

กลับมาเข้าสู่การเดินทางของเราต่อ

นุ้ยเดินทางมาถึงในช่วงบ่ายแก่ๆ  ซึ่งเป็นวันธรรมดาคนค่อนข้างน้อย

มาถึงปุ๊บก็ไปหาอะไรกินกันก่อน เพราะนี้ก็บ่ายแก่ๆ แล้ว

เดินเข้ามาโรงอาหาร ที่นั่งสะดวกสบาย ร้านอาหารที่เปิดวันนี้มีไม่เยอะมาก อาจจะเป็นเพราะเป็นวันธรรมดา

 

 

 

 

 

 

 

 

นั่งกินเพลิน กินอยู่พักใหญ่ ชาร์ตทั้งแบตร่างกาย และแบตโทรศัพท์เรียบร้อย ก็พร้อมลุกไปกราบพระพุทธเมตตาแล้ว

เหลือไปมองป้าย รู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะพลาดรอบสุดท้าย ของการเข้าชม อาคารนิทรรศการอนุสรณ์แห่งการตื่นรู้

ซึ่งการเข้าชม จะมีวิทยาการเป็นผู้บรรยาย ทุกรอบ ซึ่งมีทั้งหมดวันละ 7 รอบ   รอบละ 50 ท่าน

ถึงแม้ว่าจะไม่ครบมีวิทยากรพาเราเข้าไป และบรรยายให้

สำหรับเวลาดูจากรูปได้เลย    ที่สำคัญวันจันทร์ปิดนะคะ

หลังจากรู้ตัวว่ากำลงจะพลาด

นุ้ยก็รีบเดินมายังอาคารนิทรรศการอนุสรณ์ แห่งการตื่นรู้

ซึ่งด้านในจะมีรถคอยบริการรับส่งด้วยนะคะ รวมถึงมีจักรยานให้เช่าฟรีด้วย

แต่ไม่ได้ไกลมาก เดินดีกว่า จะได้ดูโน่นนี่นั่น  ขนาดนางรีบ นางยังจะชิล

 

 

 

 

 

 

 

 

อนุสรณ์สถานแห่งการตื่นรู้ แบ่งออกเป็น 4 โซน

โซนที่ 1    บริเวณทางเข้าสู่อาคารนิทรรศการ จัดแสดงประวัติความเป็นมาของโครงการฯ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น จวบจนการสร้า และ ความสัมพันธ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธศาสนา 

พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์  เป็นปณิธานอันแรงกล้าของสมเด็จพระมหาธีราจารย์

ที่จะสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งพระพุทธรูปเมืองบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน

อายุเกือบ 2,000 ปี ที่ถูกระเบิดทำลายลง ยังความเศร้าสะเทือนใจแก่ชาวพุทธทั่วโลก

ทำให้พื้นที่แห้งแล้งในตำบลดอนแสลบ อำเภอห้วยกระเจา เปลี่ยนเป็นสวนป่าแห่งพุทธธรรม ที่ให้ความร่มรื่น ชุ่มเย็น

 

รูปหล่อ องค์สมเด็จพระมหาธีราจารย์

 

ทางเดินเข้าไปด้านใน

 

ภาพขั้นตอนการสร้าง เริ่มตั้งแต่การปั้นต้นแบบ และขั้นตอน ต่างๆ

 

 

 

ฐานพระบาทจำลอง แสดงขั้นตอนทางวิศวกรรมการสร้างและการออกแบบที่ปลอดภัย

 

โซนที่ 2 จัดแสดงนิทรรศการเรื่องของการเดินทางของพระพุทธศาสนาจากดินแดนชมพูทวีป

สู่ดินแดนสุวรรณภูมิการหยั่งรากของพระพุทธศาสนาลงบนดินแดนสุวรรณภูมิจวบจนปัจจุบัน

โดยโซนนี้จะมีการฉายเป็นภาพยนต์ แบบ 360 องศา

“พระเจ้าอโศกมหาราชอัครศาสนูปถัมภกผู้ยิ่งใหญ่”กษัตริย์นักรบที่ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงวางดาบจากการศึกสงครามหันมาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาพระเจ้าอโศกมหาราชเสด็จจาริกไปยังสถานที่ที่พระพุทธองค์ ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพานทั้งโปรดให้สร้างเสาพร้อมจารึกว่า สถานที่แห่งนั้นเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าอย่างไร และโปรดให้จารึกบนก้อนหินธรรมชาติตามสถานที่ต่างๆทรงสร้างพระสถูปเจดีย์จำนวนมากทั่วชมพูทวีป

เมื่ออินเดียหรือชมพูทวีปตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ ชาวตะวันตกเริ่มศึกษาค้นคว้าประวัติของพระเจ้าอโศกมหาราชและจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชนี้เองที่ทำให้ชาวตะวันตกยอมรับว่า “พระพุทธเจ้าทรงมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์”

 

ส่วนที่ 3 จัดแสดงสัญลักษณ์และเครื่องหมายแห่งการระลึกถึงพระพุทธศาสนา

ตลอดจนหลักปรัชญาและคติคำสอนเพื่อการเข้าถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา

“เจติยะ” สิ่งที่ควรบูชา คือ สัญลักษณ์ที่ใช้ในการสื่อสารทางพระพุทธศาสนาเพื่อเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

 

ส่วนที่ 4 จัดแสดงเรื่องราวของการสืบทอดพระพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชนจากทั่วโลกที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน

ประติมากรรม  ที่มีรูปทรงคล้ายวิหารนี้ สร้างสรรค์ขึ้นมาให้ผู้ชมจินตนาการถึงสถานที่อันเปี่ยมไปด้วยพุทธิปัญญา

เป็นแหล่งเรียนรู้พุทธธรรมเพื่อเข้าถึงแก่นของธรรมะที่พุทธเจ้าทรงเผยแพร่มายาวนาน

ด้านนอกเห็นความงามของวิหารอันสง่าสีขาวบริสุทธิ์ แสดงถึงสัญลักษณ์ของความเป็น “เปลือก”

เปลือกที่เป็นภายนอกของสรรพสิ่งที่มักจะแสดงความงามเป็นสำคัญ ความงามของเปลือกดึงดูดใจให้เกิดปิติสุข

ส่วนในอีกด้านหนึ่งคือด้านในของประติมากรรม ซึ่งผู้ชมสามารถมองเห็นเมื่อลงไปอยู่ด้านล่าง

ได้แก่ “แก่น ” โดยแก่นที่ปรากฎด้านในนั้นแสดงความว่าง

กับผิวผนังที่ขรุขระ แสดงถึงธรรมะที่ไม่ปรุงแต่งแต่เต็มไปด้วยความเป็นธรรมชาติ

ฉะนั้นทั้งด้านนอกและด้านในของ “วิหารแห่งจิตสำนึก” คือ “เปลือกและแก่น”

ที่เป็นความจริงแห่งพุทธธรรมเมื่อใดธรรมะเข้าถึง (แก่น) กลางใจ พระพุทธศาสนา (เปลือก)

ก็จะเจริญงอกงามสืบทอดยาวนานตลอดกาลนาน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

นุ้ยใช้เวลาอยู่ในอาคารนิทรรศการอนุสรณ์สถานแห่งการตื่นรู้ ประมาณ 45 นาที

เป็น 45 นาทีที่รู้สึกมีค่ามาก เพื่อนๆ ไปต้องห้ามพลาดเลยนะคะ

เพราะเขาเล่าว่า สักร้อยคน ไม่เท่ากับได้เข้าไปสัมผัสด้วยตัวเอง ทุกเรื่องราวภายในอาคาร

ทำให้นุ้ยรู้สึกอยากรู้อยากเห็น ใส่ใจในรายละเอียด และลึกซึ้ง


หลังจากออกมาจากอาคารนิทรรศการฯ  ก็ได้เวลาไปกราบสักการะ องค์พระพุทธเมตตาประชาไทยฯ

เพื่อความสงบสุข ร่มเย็นกันแล้ว

อย่างที่ได้รู้ประวัติ กันแล้วว่า องค์พระเมตตาประชาไทยฯ สูงถึง 32 เมตร

มีความหมายถึงความสมบูรณ์ของร่างกาย 32 ประการ

พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์ เป็นพระพุทธรูปปางขอฝนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

 

 

เดินวนดูรอบๆ องค์พระ  มียักษ์ 2 ตน

 

 

 

 

 

 

 

ในบริเวณพุทธอุทยานมีอาคารอยู่หลายหลัง

ทั้งอาคารให้บริการข้อมูล อาคารนิทรรศการ อาคารโรงอาหาร อาคารของที่ระลึก

 

แวะเข้าไปดูอาคารของที่ระลึก มีสินค้าที่ระลึกหลายอย่าง และมีของฝากจากท้องถิ่นมาวางจำหน่ายด้วย

 

 

 

 

 

 

 

นุ้ยเดินเล่นถ่ายรูปอยู่จนถึงเย็นเลยทีเดียว  จนกระทั่งโรงอาหารปิด

ก็คุยกันว่าจะกลับ  แต่ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว อยู่รอเวลาอีกสักหน่อยเพราะ พุทธอุทยาน ปิด 1 ทุ่ม

อยู่รอดูช่วงเวลากลางคืนอีกสักหน่อย

ตะวันเริ่มตกดิน ในบริเวณพุทธอุทยาน เริ่มเปิดไฟ ทั้งทางเดินไปสู่องค์พระ

และบริเวณน้ำพุ เป็นภาพที่สวยงามมาก  และในยามเย็น แบบนี้ผู้คนเริ่มทยอยกันมากราบสักการะ

รู้สึกคุ้มมากจริงๆ ที่ตั้งใจขับรถผ่านมาทางนี้ เพื่อกราบสักการะ

เรื่องบางเรื่องนุ้ยว่ามันยากจะอธิบายนะ  … แต่มันสัมผัส และรู้สึกได้

 

เวลาประมาณ ใกล้ 1 ทุ่ม นุ้ยก็ออกเดินทางต่อ

ทริปนี้นุ้ยค้าง U InChantree เป็นโรงแรมในเครือยูโฮเทลนั่นเอง

ซึ่งใช้วเลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง

สำหรับวันแรกวันนี้ขอฝากท้องกับอาหารค่ำจากที่พักละกัน

เป็นอาหารที่บอกได้ว่า รสชาติดีที่เดียว เมนูแรกต้มข่าไก่

 

ปลาทอดสมุนไพร จะเป็นเนื้อปลาชุปแป้งทอด พร้อมสมุนไพรทอดกรอบ 

ผัดผักรวม 

และปิดท้ายด้วยทอดมันกุ้ง

 

ด้วยความเหนื่อยจากการเดินทาง และอิ่มมาก หลับไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ตื่นเช้าออกมาสูดอากาศสดชื่น เพราะ ยู อินจันทรี เป็นโรงแรมที่อยู่ติดริมแม่น้ำแควเลยนะ

ตอนเช้าอากาศดีมาก ๆ นั่งริมแม่น้ำนี่สุดฟินเลยละ

เดินผ่านล็อบบี้ เจอน้องพนักงานยืนประจำการ

 

เดินทางที่นี้เพื่อจะไปทานอาหารเช้า ซึ่งเป็นห้องอาหารเดียวกับห้องดินเนอร์

แต่เมื่อคืน ฟ้ามืดมาก   เอ๊ะ! หรือนุ้ยหิวมากก็ไม่รู้ ไม่ได้ถ่ายบรรยากาศช่วงค่ำคืนไว้เลย

ผ่านฟิตเนส แวะดูสักหน่อย แต่ไม่เข้าไปฟิตนะเพราทริปนี้มาเที่ยวแบบเที่ยวจริงๆ ไม่เน้นพักผ่อน รักสุขภาพมากนัก

แอบแว๊บไปดูสระว่ายน้ำ

สระว่ายน้ำริมแม่ฟินไปอีกแบบนะนี่

 

 

สำหรับมื้อเช้าต้องมุมนี้เลย ริมแม่น้ำ สดชื่นสุดๆ และชอบยูอินจันทรีอีกอย่างคือ

ต้นไม้ร่วมรื่นมาก ๆ

 

 

 

 

 

 

 

ไปดูอาหารเช้ากัน  ซึ่งอาหารจะมีทั้งแบบบุฟเฟ่ต์ และอลาคาส

ในบุฟเฟ่ต์ก็จะมี ขนมปัง เครื่องดื่ม ผลไม้ และซีเรียลต่างๆ รวมถึงสลัดด้วย

ส่วนอลาคาสจะเป็นเมนูไข่ต่่างๆ 


 

 

 

 

 

 

 

 

กาแฟเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในยามเช้า คาปูชิโน่ร้อนๆ สักแก้วมั๊ยคะ

 

หรือจะกาแฟเย็น 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เมนูที่สั่งบ่อยที่สุด egg benedict  จานเดียว อร่อยอิ่ม ไม่ต้องทานอย่างอื่นเพิ่มเลย

ทานอาหารเช้าเสร็จ ก็ออกไปเดินเล่นตรงบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแคว

ห่างจากโรงแรมเพียงแค่ ประมาณ 400 เมตร เท่านั้น

ทางโรงแรมมีรถจักรยานให้ยืมด้วยนะ  แต่นุ้ยอยากเดินให้ย่อยเพราะใกล้นิดเดียวเอง

 

สะพานข้ามแม่น้ำแคว… เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่พลาดไม่ได้

เมื่อเดินทางมาถึงกาญจนบุรี

สะพานข้ามแม่น้ำแคว ตั้งอยู่ที่ตำบลท่ามะขามอำเภอเมืองจังหวัดกาญจนบุรี

เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง

เป็นสะพานที่สำคัญที่สุดของเส้นทางรถไฟสายมรณะสร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

มีการยกย่องให้สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ

เดินเล่นยังไม่ถึงปลายสะพาน ได้ยินสัญญาณเตือน มีรถไฟมา

แต่ไม่ต้องกลัวนะคะ เพราะจะมีสัญญาณแจ้งเตือนนานพอสมควร และรถไฟจะจอดที่สถานตรงหัวสะพานก่อน

และระหว่างทางของสะพาน จะมีจุดให้ยืนเพื่อหลบรถไฟ  แบบนี้

 

แค่ไม่กี่นาที รถไฟก็วิ่งผ่านไปแล้ว

ได้เวลาเดินทางกลับที่พัก พร้อมกับเช็คเอ้าท์ แล้ว เดี๋ยวเราจะไปเที่ยวต่อ แล้วตรงดิ่งเข้ากรุงเทพ เลย

 

ย้อนกลับมาที่โรงแรม ก่อนเช็คเอ้า เก็บภาพบรรยากาศอีกสักนิด ร่มรื่นมาก ๆ

อยู่ด้านในแล้วรู้สึกสดชื่นมากๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

และคิดออกว่ามาพักที่นี้ยังไม่มีรูปห้องพักเลย   ก็ไม่พลาดที่จะถ่ายมาให้ดูกันสักหน่อย

ขนาดห้องไม่ได้กว้างมาก ขนาดพอใช้สอย มีระเบียงให้ออกนั่งเล่น ชมวิวได้ด้วย

และห้องน้ำค่อนข้างกว้างพอสมควร

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แต่ก่อนจะขับรถออกจากตัวเมือง

ต้องหาร้านคาเฟ่น่ารักๆ ทำหน้าแบ๋วๆ ก่อนสักหน่อย

ที่เมืองกาญจน์ มีร้านน่ารักๆ เยอะมาก เลือกไปเลือกมามาสรุปอยู่ที่ร้านนี้

ใจดีค่าเฟ่  ร้านตั้งอยู่ ถนนเลี่ยงเมืองกาญจนบุรี กาญจนบุรี (ร้านมาทางเส้นบายพาสกาญจนบุรี เลยโรบินสันกาญจน์มาประมาน300เมตร)

 

ถ้าเรามองมาจากด้านนอก จะคิดว่าร้านนี้เล็กจัง แต่พอเข้ามาด้านใน กว้างมากเลยนะ

และที่สำคัญน่ารักมาก มุ้งมิ้ง ฟุ้งฟริ้งกระดิ่งแมวสุดๆ

พนักงานก็น่ารักด้วย ตอนเราถ่ายรูปก็มาช่วยถ่าย  ภาพคู่ให้

 

วันนี้สั่งเครื่องดื่มมา 2 แก้ว กาแฟแก้วหนึ่ง จำชื่อไม่ได้ และตามสไตล์นายต้นคือ เลมอนโซดา

เพื่อเรียกความสดชื่นตอนอากาศร้อนๆ

สั่งขนมมาอีกหนึ่งอย่าง มินิโทสต์   และมันอร่อยมาก

ปกติก็กินบ่อยนะ แต่เฉยๆ แต่ร้านนี้ทำให้กินแล้วรู้สึกอร่อย

ปริมาณ ไม่มากเกินไป กินอิ่มอร่อยกำลังดี เสิร์ฟมากับไอศครีมช็อกโกแลต


แต่จริงๆ ร้านนี้มีเมนูขนมหวาน น่าทานๆ เยอะมาก แต่นุ้ยก็แอบเล็งร้านอื่นไว้ด้วย

จะกินเยอะตั้งแต่ร้านแรก  ก็กลัวจะท้องแตก

สำหรับร้านนี้แนะนำเลย ร้านน่ารัก พนักงานบริการดี ขนมและเครื่องดื่มรสชาติเยี่ยม ราคาน่ารักด้วยนะเออ

ร้านเปิด 8.00 – 19.00 น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เส้นทางการกลับเข้ากรุงเทพวันนี้จะเต็มไปด้วยเส้นทางการเที่ยว

นั่นหมายความว่าเราจะแวะตลอดทาง

ขับรถออกมาเรื่อยๆ เพื่อตรงเข้าไปยังวัดถ้ำเสื้อ แต่ GPS เจ้ากรรม ดันพาเข้าหลังวัด

ตอนแรกก็งงว่าวัดถ้ำเสือทำไมไม่มีคนเลย จอดรถเดินเข้าไป คนเต็มวัดเลยจ้า

ใครที่ใช้ GPS เชื่อว่าต้องเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้แน่นอน

 

วัดถ้ำเสือตั้งอยู่บนเนินเขา ในตำบลม่วงชุม อำเภอท่าม่วง เป็นอำเภอที่อยู่ก่อนถึงตัวเมืองกาญจนบุรี

วัดถ้ำเสือ เป็นวัดที่มีชื่อเสียงไม่น้่อย

เดิมเป็นเพียงสำนักสงฆ์เล็กๆ ที่อยู่ในบริเวณถ้ำเสือด้านล่างริมเนินเขา

ต่อมาได้แรงศรัทธาจากชาวบ้าน ร่วมกันสร้างและบูรณะ จนกลายเป็นวัดที่ใหญ่โต และมีความวิจิตรงดงาม

เป็นวัดที่มีพระที่มีองค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี พระเจดีย์ที่มีความสวยงามโดดเด่น สามารถมองเห็นได้จากในระยะไกล เพราะตั้งอยู่บนเนินเขา ใครที่มาเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี

เปิดให้เข้าชมได้ทุกวัน

จันทร์ – ศุกร์: เวลา 8.30 – 16.30 น.
เสาร์ – อาทิตย์: เปิดเวลา 8.00 – 16.30 น.

การเดินทางจากกรุงเทพฯ
1. จากกรุงเทพฯ ผ่านอำเภอบ้านโป่ง เข้าถนนแสงชูโต จะผ่านแยกมิราเคิล ออฟ ไลฟ์ จากนั้นพอถึงแยกท่าม่วง เลี้ยวซ้ายไปทางอำเภอท่าม่วง
2. ผ่านหน้าโรงพยาบาลท่าม่วง วนวงเวียนหอนาฬิกา เพื่อเลี้ยวซ้ายไปถนนเลียบคลองชลประทาน
3. เจอสามแยก เลี้ยวขวาไปอีก 2 กิโลเมตร (มีป้ายบอกทาง) ให้วิ่งไปทางเดียวกับวัดม่วงชุม พอเลยวัดม่วงชุมไปจะเห็นทางเข้าวัดถ้ำเสือ อยู่ทางซ้ายมือ

การเดินทางจากตัวเมืองกาญจน์
1. จากตัวเมืองกาญจน์ วิ่งผ่านหน้าโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา เจอสามแยกไฟแดงตรงหน้าศาลากลางจังหวัด ให้เลี้ยวขวา
2. หลังจากข้ามสะพานแล้ว ให้ทำการเลี้ยวซ้ายข้างสะพาน (ทางเดียวกับทางไปวัดบ้านถ้ำ) จากนั้นวิ่งถนนสายใน ไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตร
3. วิ่งข้ามคลองชลประทานไป จนเห็นวัดม่วงชุม เลี้ยวขวาข้างวัด (ตรงนี้ไม่มีป้ายบอกทาง) วิ่งเลาะรั้ววัดมา ถึงสามแยกเลี้ยวขวา จะเห็นป้ายทางเข้าวัดถ้ำเสือทางซ้ายมือ

 

ขึ้นไปกราบ สักการะพระบรมสารีริกธาตุภายในพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท

เมื่อขึ้นมาด้านบนนอกจากได้กราบสักการะ พระบรมสารีริกธาตุแล้ว

ยังได้ สามารถมองเห็น หลวงพ่อชินประทานพร ในอีกมุมหนึ่งด้วย วิจิตรงดงามมาก ๆ

 

และอีกฝั่งจะเป็นเจดีย์วัดเขาน้อย

ได้บุญกันแล้ว เราก็ยังคงลัดเลาะไปเรื่อยๆ

จนไปถึงต้นจามจุรียักษ์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก

ต้นจามจุรียักษ์ ตั้งอยู่ในอำเภอด่านมะขามเตี้ย บ้านกสิกรรม หมู่ 5 ตำบลเกาะสำโรง

เวลาเปิด 06.00 – 18.00 น. ไม่มีค่าเข้าชม

 

ต้นจามจุรียักษ์ หรือต้นก้ามปูยักษ์   ต้นจามจุรียักษ์มีอายุมากกว่า 100 ปี ขนาด 10  คนโอบ

รัศมีทรง พุ่มเฉลี่ย 25.87 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางร่มเงาประมาณ 51.75  เมตร

ความสูงจากพิ้นดินถึงยอด 20เมตร มีพื้นที่ของพุ่มประมาณ 1 ไร่ 2 งาน 4 วา

สรุปได้ว่ามันยักษ์จริงๆ และแผ่กิ่งก้าน ได้สวยงามมาก

ยังคะ วันนี้ยังไม่จบเท่านี้ และยังไม่ปิดท้ายด้วย

เพราะนี่เป็นเพียงแค่พักเบรคจากการนั่งรถลงไปเดินเล่น

เพราะนุ้ยกำลังจะพาทุกคนไปเดินเล่นกันที่ชุมชนตลาดเก่าท่าม่วง

ชุมชนแห่งนี้มีเสน่ห์ และมีความคลาสสิคมากๆ บอกเลย

ตอนไปถึงเจอฝนนิดหน่อย …ก็เลยเป็นเหตุผลให้เรามองหาที่นั่ง

ก็เลยมาลงเอยที่ร้านนี้ ร้านข้าวมันไก่  เป็นร้านที่อยู่ในอาคารไม้ แบ่งเป็นห้องแถวยาว ๆ

ดูร้านเป็นร้านธรรมด๊า ธรรมดาสุด

แต่มันอร่อยมากบอกเลย 

 

 

เมนูในร้านก็มีประมาณนี้

 

อยากกินข้าวหมก แต่ข้าวหมกหมดแล้ว เหลือแต่ไก่หมกกับข้าวมัน

ก็เลยออกมาเป็นจานนี้  ในจานจะมีไก่หมก 1 ชิ้น กับเนื่อไก่ทอด หั่นชิ้นมาเรียบร้อยแล้ว

จานนี้ข้าวเยอะพูนมาก แต่เนื้อไก่ เยอะมาก ปิดซะแทบไม่เห็นข้าวเลย

ข้าวอร่อยๆ เนื้อไก่ทอดนุ่มอร่อย ทีเด็ดอยู่ทีหอมเจียว และกระเที่ยมเจียวที่โรยมา

เท่าที่กินเป็นการเจียวเอง ไม่ได้ซื้อแบบสำเร็จมา ทำให้เป็นข้าวมันไก่ที่อร่อยมาก บอกเลยว่าต้องมากิน

 

 

อีกจานเป็นข้าวมันไก่ตอนธรรมดา 

แต่ไม่ธรรมดาตรงที่เนื้อไก่ปิดข้าวซะมิดเลย 

ให้เนื้อเยอะคุ้มเกินราคา และอร่อยมาก

ถ้านุ้ยจำไม่ผิด ข้าว 2 จาน น้ำ 2 แก้ว 120 บาท อิ่มอร่อย และคุ้มเว่อร์

เติมพลังเต็มท้องแล้ว ฝนเริ่มซา  ออกไปเดินเล่นกันต่อ

ในชุมชน ยังคงอนุรักษ์ บ้านแบบโบราณไว้ บ้านที่มีลักษณะคล้ายห้องแถว ที่สร้างจากไม้ เหล่านี้

ยังคงมีให้เห็นอยู่ หลายหลังเลยทีเดียว

อีกฝั่งหนึ่ง ก็จะมีบ้านโบราณ  ซึ่งฝั่งนี้จะสร้างจาปูน

แต่สัมผัสได้ถึงความเก่า ความโบราณมากๆ แต่ไม่อยู่ไม่เยอะมากนัก 

และยังร่ายล้อมไปด้วยวิถีชีวิตที่น่าสนใจ

 

 

 

 

 

 

 

 

ออกจาชุมชนท่าม่วงย้อนกลับเข้าสู่ถนนเส้นหลัก เตรียมตัวมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพแบบจริงๆ จังๆ ก่อนจะตกเครื่อง

แต่…ก็ไม่วายขอแวะร้านนั่งชิลอีกสักร้าน

เป็นร้านที่อยู่ในอำเภอท่าม่วงนี่แหละ ทางผ่านออกไปยังถนนเส้นหลักพอดิบพอดี  บังเอิ๊ญ บังเอิญ

ชื่อว่าร้าน ฟาร์มคาเฟ่ เดอ กาลเวลา

แอบเสียดายที่ไม่ได้ด้านหน้าร้านไว้เลย

จากด้านหน้าร้านนี้เป็นเพียงร้านเล็กๆ เหมือนบ้านคนทั่วไป แต่ถ้าสังเกตุสักนิด จะพบความน่ารัก

ภายในร้านตกแต่งสวยมาก วินเท้จ วินเทจ

 

 

และเมื่อเข้ามาด้านใน ไม่ได้เล็ก แคบ อย่างทีคิด เพราะร้านค่อนข้างยาว

คือหน้าจากร้านลึกเข้าไปเยอะมาก แบ่งออกเป็น 3 ช่วง 3 โซน ให้เลือกนั่งกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

มีขายทั้งอาหารคาว อาหารหวาน ของทานเล่น ทานจริงจริง และเครื่องดื่ม

แต่สำหรับนุ้ยแค่นี้พอแล้ว  เพราะพึ่งทานของหนักไป

ที่สังเกตุคือ ร้านนี้จะเน้นอาหารสุขภาพด้วยนะ พวกสลัดไรงี้ แต่ก็ไม่ได้มีเวลาถามพนักงานมากนักว่าปลูกผักเองหรือเปล่า

เพราะรีบมาก  กลัวตกเครื่อง


หลังจากนั่งชิลล์ เท่าที่พอจะชิลได้แล้ว ก็รีบบึ่งรถไปดอนเมืองทันที รีบคืนรถที่เคาเตอร์ AVIS

แล้วก็เช็คอิน รอขึ้นเครื่องบินกลับภูเก็ตเลย

ขากลับยังเหมือนเดิมบินกับนกแอร์ …

 

 

 

 

 

 

 

ขากลับเจอกล่องขนม แบบใหม่น่ารักมาก

ทุกการเดินทางมีความสุข

ทุกการเดินทางมีประสบการณ์มากมาย

ทุกการเดินทางมีเพื่อนใหม่

ออกมาเที่่ยว มาเปิดประสบการณ์ ค้นหาความสุขให้ตัวเองกันนะคะ

กาญจนบุรี เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีอะไรเยอะแยะมากมาย ที่รอคอยให้มาเที่ยวมาชมกัน

เจอกันใหม่รีวิวนะ สำหรับรีวิวนี้บ๊าย บาย

 

และแวะไปทักทายพูดคุยกันได้ที่นี้เลย

https://www.facebook.com/MyLifeMyTravels/

My Life My Travel