ฮอกไกโด..ที่รัก

ขอเรียกฤดูนี้ว่า ฤดูแห่งความคิดถึง คิดถึงทุกการเดินทาง คิดถึงทุกสถานที่  และตอนนี้คิดถึงที่นี่ที่สุด ฮอกไกโด  โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว … เป็นฤดูที่เราฝันไว้ว่าเราจะต้องกลับไปฮอกไกโดอีกครั้ง หิมะขาวๆ หนาๆ ปกคลุมอยู่ทั่วทุกพื้นที่  ทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็ง ดูกวางริมทะเล นกกระเรียนเต้นระบำ  แช่ออนเซ็นกับฝูงหงส์ นั่งจิบเบียร์ในไอซ์บาร์

เมื่อฝันของเราสองคนได้เป็นจริง .. และฤดูหนาวกำลังเวียนกลับมาอีกครั้ง

ก็อยากที่จะหยิบเรื่องนี้มาเล่าให้คลายคิดถึง

#สถานที่ท่องเที่ยวในทริป

– Kushiro

– Lake Shikaribetsu

– Abashiri

– Notsuke Peninsula

– Biei

– Furano

#การเดินทาง

ทริปนี้ของเราเป็น Road Trip  ไม่รู้ว่าไปตกหลุมรักการขับรถเที่ยวตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอได้ลองก็หยุดไม่ได้เลย

โดยเฉพาะ Hokkaido เช่ารถขับ ฟินสุด ประหยัดเวลาสุด และทำให้เราได้เจอสถานที่ระหว่างทางสวยสุด

.

#แฟนพาเที่ยว #Hokkaido

ครั้งนี้เราเช่ารถกับ Tocoo เป็นเว็บที่รวบรวม บริษัทรถเช่าต่างๆ มาไว้ที่เดียว เว็บภาษาไทยใช่งานง่ายมาก

สำหรับการเช่ารถขับที่ญีปุ่น มีแสดงเอกสารที่จำเป็น
1. ใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ หรือใบขับขี่สากลนั่นเอง
2. ต้นฉบับใบอนุญาตขับขี่ (ในประเทศตนเอง)
3. Passport
4. บัตรเครดิตที่ใช้ชำระเงินได้

และการเช่ารถขับในช่วงหิมะ รถจะต้องเป็นแบบ 4WD และต้องเปลี่ยนยางเป็นยางสำหรับหิมะเท่านั้นนะคะ

ทริปนี้เราขับรถค่อนข้างไกลขึ้นทางด่วนค่อนข้างเยอะ แนะนำ Hokkaido Expressway Pass  สามารถเลือกซื้อตามจำนวนวันให้เหมาะกับทริปเราได้เลย  

หลังจากรับรถที่สนามบิน New Chitose  ปลายทางแรกของทริปนี้เราของเริ่มกันที่เมือง Kushiro ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3.40 ชม.

Kushiro ถือเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของ ฮอกไกโดเลยนะ เป็นอีกหนึ่งเมืองท่าสำคัญ แต่เมืองค่อนข้างเงียบ ไม่ได้คึกคักนัก   

มาถึงเมืองนี่ สิ่งที่ห้ามพลาดเลยคือ  ตลาดสดวาโซะ(Washo Market) อะไรนะมาถึงก็กินเลย ฮ่าๆๆ

Washo Market เป็นตลาดที่ตั้งอยู่ในตัวเมือง ใกล้กับสถานีรถไฟ Kushiro Station ถ้าหากเดินออกจากสถานีรถไฟ ให้เดินทางไปทางขวาประมาณ 200 เมตร ข้ามถนนก็เจอเลยค่ะ  เป็นตลาดติดแอร์คล้ายซุปเปอร์มาร์เก็ตเลย 

เปิดวันจันทร์ – เสาร์ ตั้งแต่เวลา 08.00 – 18.00 น . (ปิดทุกวันอาทิตย์)

ไฮไลท์ของที่นี้คือ Katte Don (คัตเตะด้ง) ซึ่งคำว่าคัตตะ หมายความว่าตามใจชอบ  

คัตตะด้งจึงกลายเป็นข้าวหน้าด้งที่เราเลือกซาชิมิได้ตามใจ    ซึ่งจะมีร้านที่ขายข้าวเปล่า  และร้านที่ขายซาชิมิต่างๆ  เมื่อซื้อข้าวมาแล้ว เราสามารถเลือกจิ้มได้ตามใจว่าจะเอาอะไรมาวางบนข้าวของเราบ้าง ซึ่งราคาก็ไม่แพงเลย 

ของเราสองคนก็ออกมาประมาณนี้    และขอบอกว่า มันดีมาก สดมาก อร่อยมาก  ยิ่งอูนิที่เป็นของ ฮอกไกโด ยิ่งเริ่ด ใครพลาดที่นี่เสียใจแน่นอน

ใกล้ๆ กับเมือง Kushiro ห่างออกไปไม่ถึง 1 ชั่วโมง  มีหมู่บ้านที่ชื่อว่า Tsurui  เป็นหมู่ที่มีฝูงนกกะเรียนมงกุฎแดงอพยพมาอาศัยในช่วงฤดูหนาว เพราะได้รับกระแสน้ำอุ่นไหลผ่าน ทำให้หิมะตกน้อย  ตอนไปให้เพื่อนตั้งพิกัดไปที่ Tsurui-ito Tancho Sanctuary

นกกระเรียนมงกุฎแดง หรือ Red-crowned crane เป็นนกน้ำขนาดใหญ่ เพราะฤดูหนาวที่ยาวนานทำให้เกือบสูญพันธุ์เหลือเพียงแค่ 33 ตัวเท่านั้น  แต่ชาวบ้านที่นี่ได้นำอาหารมาให้ตลอดฤดูหนาว และต่อได้มาได้มีศูนย์เพาะพันธ์ จึงทำให้ยังมีนกกะเรียน อยู่ทั่วโลกน่าจะราวๆ สองพันตัว นกกระเรียนเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและจงรักภักดี ส่วนใหญ่จะเลือกคู่และรักกันไปตลอดทั้งชีวิต

ก็ยังแอบเสียดายวันที่เราไปหิมะไม่ตก  มันต้องเป็นภาพที่สวยมากแน่ๆ

ด้านหน้าจุดที่เราแวะดูนกกระเรียนมกกุฎแดงมีคาเฟ่ตั้งอยู่ ดูด้านนอกเหมือนร้านขายของที่ระลึกทั่วไป  พอเดินเข้าไปก็ขายของที่ระลึกนั่นแหละ 555  แต่มีมุมนึงของร้านที่เป็นคาเฟ่ให้ได้นั่งพักผ่อน ดูวิว

ช็อกโกแลตร้อนกับบรรยากาศแบบนี้มันดีเหลือเกิน

Lake Kussharo (ทะเลสาบคุชชาโระ )เป็นปลายทางที่เราตั้งใจมากๆ สำหรับทริปนี้ และมันก็สวยเหมือนที่เราอยากเห็น ทะเลสาบคุชชาโระ  เป็นทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุด และยังเป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอับดับ 6 ของญี่ปุ่นด้วยนะ

สิ่งที่เราหวังไว้ ฝูงหงส์ แผ่นน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในน้ำ blackgroud ภูเขาหิมะ และมันเป็นแบบนั้น สวยกว่าที่เราคิดไว้ซะอีก

รอบทะเลสาบคุชชาโระ มีออนเซ็นลับ ที่นุ้ยว่าไม่ลับอีกต่อไปแล้วล่ะ ให้เราได้แช่ออนเซ็น กับบรรยากาศแบบนี้  หิมะ ฝูงหงส์  ที่นี่ชื่อว่า コタン温泉 (ชื่อภาษาอังกฤษคือ Kotan Onsen)   ตั้งพิกัดตามชื่อได้เลย เป็นออนเซ็นที่เราสามารถลงแช่ได้ฟรี   สามารถใส่ชุดว่ายน้ำลงได้  แนะนำว่าต้องใส่นะคะ เพราะตอนที่นุ้ยไป บริเวณนี้จะมีช่างภาพไปรอถ่ายฝูงหงส์กันค่อนข้างเยอะเลย ไม่มีห้องอาบน้ำ แต่จะมีห้องไว้ให้เปลี่ยนชุด ต้องเตรียมอุปกรณ์ไปเองน๊า

อีกหนึ่งสถานที่ ที่เรารักมาก หรือจะเรียกว่ารักที่สุดในทริปนี้ก็ได้ค่ะ Notsuke Peninsula Nature
จริงๆ แล้วที่นี่เป็นสถานที่ที่เราเอามาขั้นเวลา เนื่องจากวันนั้นของทริปมีเวลาเหลือพอสมควร เราสองคนก็เลยชี้พิกัด แบบให้เวลาอันน้อยนิดว่าไปที่นี่ละกัน ก่อนไปปลายทางที่ตั้งใจ
.
แต่…ที่นี่กลายเป็นสถานที่มหัศจรรย์ที่สุดในญี่ปุ่นสำหรับเราสองคน เพราะความไม่คาดหวัง…มันมักทำให้ร้องคำว่าว้าว โอ้โห้ เห้ย สวย มันดีมาก มีแต่คำเหล่านี้ออกจากปากเราตลอดเวลา และเรากล้าบอกได้เลยว่า ในรูปสวยได้ไม่เท่าของจริงเลย มันเป็นเพียงความสวยแค่ไม่กี่เปอร์เซ็น เมื่อเทียบกับสิ่งที่เราเห็นด้วยตา

Notsuke Peninsula Nature คือคาบสมุทรที่ยาวถึง 26 กิโลเมตร ในช่วงฤดูร้อนเราจะเห็นหาดทรายแยกที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น แต่ในฤดูที่เราไป พื้นทะเลอ่าวฝั่งในคาบสมุทร กลายเป็นน้ำแข็ง ทำให้เราเห็นภาพขอบฟ้าตัดขอบทะเลหิมะที่ขาวโพลน จนที่นี่ได้ถูกเรียกว่าขอบฟ้าเยือกแข็ง

แต่สิ่งที่ดึงดูให้เราไปที่นี่คือ Hokkaido Ezo Deer หรือกวางท้องถิ่นของฮอกไกโดนั่นเอง ขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ เขาสวย และพร้อมเป็นนายแบบมาก เพราะน้องกว้างดูไม่ตื่นตกใจตอนเห็นผู้คน

การเดินทางไปที่นี่   การขับรถไปคงจะเป็นทางเดียว ที่สะดวกที่สุด และทำให้เราได้ท่องเที่ยวตามจุดต่างๆ ตลอดเส้นถนนบนคาบสมุทรนี้ ได้แวะถ่ายรูปในทุกจุดที่สวยๆ แวะทุกจุดที่เห็นน้องกวาง

ต่อไปเราจะพาทุกคนไปเมือง อะบาชิริ- Abashiri คนที่มาเมืองนี้คงไม่พลาดกับการนั่งเรือตัดน้ำแข็งที่ไหลมาจากขั้วโลกเหนือแน่นอน  แต่ทริปนั้นเราตั้งใจพลาด ด้วยอะไรหลายๆ  แต่มีหนึ่งสิ่งที่เราอยากให้ทุกได้ลองเมื่อไป Abashiri นั่นคือการนั่งรถไฟริมทะเล มันสวยมากจริงๆ หรือถ้าไม่อยากนั่งรถไฟ แนะนำให้ขับรถมาที่สถานี Kitahama Station เป็นสถานีเล็กๆ  สร้างด้วยไม้ ติดริมทะเล น่ารักสุดๆ 

เห็นเล็กๆ แบบนี้มีคาเฟ่อยู่ด้วยนะ ด้านในที่นั่งอารมณ์เหมือนเรากำลังนั่งอยู่บนรถไฟ ที่เคลื่อนขบวนออกไปตามเส้นทางที่ผ่านทะเลหิมะ

อ๋ออีกอย่างที่สถานีนี้ มีมุมให้เราได้ถ่ายรูปรถไฟด้วยน๊า  สร้างขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะเลยล่ะ

ต่อกันด้วย Lake Shikaribetsu   เราพึ่งเคยได้ยินชื่อทะเลสาปแห่งนี้เป็นครั้งแรก ก่อนไปเราคุยกันว่า รอบนี้ขอไปที่ใหม่ที่เราไม่เคยไปนะ  และการค้นหาของเราก็มาเจอที่นี่   ทีเด็ดของที่นี่เป็นช่วงฤดูหนาวนี่แหละ เพราะพื้นที่ในทะเลสาบทั้งหมดได้กลายเป็นน้ำแข็งหนากว่า  60 เซนติเมตร  ลงไปวิ่งเล่นกันได้เลย   แต่นั้นยังไม่ใช่สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุด  เพราะสิ่งที่ทำให้เรามาที่นี่คือ  Igloo Village หรือหมู่บ้านชาวเอสกิโมนั่นเอง  มันดูเท่ดูคูลมาก

บ้านแต่ละหลัง ก็จะสร้างที่นั่งเล่นพักผ่อนไว้ด้านใน  แต่ที่ชอบมากคงเป็น Ice Bar  นี่แหละ

ทั้งที่เป็นบาร์น้ำแข็งแท้ๆ ด้านในกลับรู้สึกสบาย

รับเครื่องดื่มอะไรดีค่ะ มีทั้งชา กาแฟ  ค็อกเทล มาครบ

นี่แอบคิดว่าเป็นวังน้ำแข็งของตัวเอง ขึ้นนั่งบนบัลลังก์เลยจ้า

มีบ่อเอ็นเซ็นให้ใช้บริการด้วยฟรี แต่จะมีแบ่งเวลากันเป็นรอบๆ ชาย หญิง

ช่วงเย็นอากาศยิ่งหนาว แต่แสงอาทิตย์สวยมาก  เห้อ ชอบแบบนี้จัง

ชอบหมู่บ้านเอสกิโมเหรอ ??

เปล่า … ชอบที่มีเธอยื่นมองตากันแบบนี้  ฮ่า ๆๆ  ห้ามอ๊วกเด้อ

รอบนี้สำหรับ Furano เราเน้นพักผ่อนมาก เพราะที่พักเราสวยเหลือเกิน เราแทบจะไม่ได้ไปไหนเลย แต่เดี๋ยวจะหยิบมาเล่ากันอีกที   แต่เมื่อไปถึง Furano ก็ต้องไปที่นี่สินะ Furano Cheese Factory 

บรรยากาศในฤดูนี้ทำเอาทุกที่สวยไปหมด น่าถ่ายรูป   มุมไหนก็ดี 

ไปที่นี่ต้องหามลืมชิม ชิสเค้กนะ อร่อยมาก เนื้อชีสเค้กละมุนละลายสุด

และพิซซ่ากับหิมะ มันฟินมาก ชิสของที่นี่หอมแบบ หอมไกลไป 7บ้าน 8 บ้านมากแก  ถ้ากลัวกินเป็นถาดไม่หมด แนะนำสั่งเป็นชิ้นก็ได้น๊า จะได้ลองหลายๆ แบบ

ก่อนกลับ เราไปกันที่ Biei เราสองคนเคยมาที่นี่แล้ว แต่เป็นอีกช่วงฤดูหนึ่ง ซึ่งเขาว่ากันว่า ฤดูนี้สวยสุด แต่ที่รู้ๆ คุณลืมภาพ Blue Pond ไปเลยจ้า เพราะไม่มีน้ำสักหยดกลายเป็นน้ำแข็ง  นี่ก็ลืมถ่ายรูปมาให้ดูว่า เมื่อไม่มีน้ำสีฟ้า Blue pond เป็นยังไง  แต่เราก็ยังขับรถเข้าไปด้านในต่อ เพื่อไปน้ำตกชิโรฮิเงะ (Shirahige Waterfalls)

สวยงามตามท้องเรื่องแบบนี้แหละ

เราเคยสงสัยว่ามา Biei ทำไมต้องไปถ่ายรูปต้นไม้  แต่พอไปเห็นสถานที่จริง คือหยุดกดชัตเตอร์ไม่ได้เลย

จุดแรกเป็น Lone Christmas Tree หน้าตาคล้ายต้นคริสต์มาสเลย   มีอยู่ต้นเดียวเด่นมาก สวยมาก

**ที่สำคัญที่เราอยากบอกคือ ทุกจุดถ่ายรูปที่ Biei ห้ามเดินเข้าไปนะคะ  จะมีป้ายปักติดไว้ทุกจุดเลย  เพราะพื้นที่หิมะขาวๆ ที่เราเห็นนั้นคือพื้นที่การเกษตรของชาวบ้าน การเดินเข้าไป จะทำให้พืชผลเสียหาย และเป็นการบุกรุกพื้นที่บุคคลด้วยนะ

ต่อไปเป็น ต้นโอ๊ก Seven Star Tree  แต่อย่าถามเรานะว่า ต้นโอ๊กอยู่ไหน คิดแล้วก็แอบขำ ทั้งที่ชี้ให้ต้นดูแล้วว่าเรามาถ่ายต้นนั้นกันนะ  เล่าประวัติบลาๆ แล้วนางก็ไม่สนใจ นางบอกไม่สวย แต่วิวข้างๆ สวยกว่าเยอะ ผลที่ได้คือแบบนี้จ้า  และนี่คือวิวบริเวณต้น Seven Star Tree  ที่ไม่ยอมถ่ายต้อน Seven Star

และนี่คือวิวบริเวณต้น Seven Star Tree  ที่ไม่ยอมถ่ายต้อน Seven Star

Mild Seven Hill ช่วงเวลาไหนก็สวย ที่นี่เป็นฉากหนึ่งบนโฆษณาทีวีของบุหรี่ยี่ห้อ Mild Seven แต่เคยได้ยินมาถูกตัดไปแล้วเพราะการบุกรุกพื้นที่นี่แหละ คนที่เข้าไปถ่ายรูปเดินย้ำเข้าไป จนชาวบ้านต้องต้นต้นไม้ทิ้ง เหลือไว้เท่าที่เห็น

マイルドセブンの木  นี่เป็นอีกจุดที่สวยมากๆ   

**ที่สำคัญที่เราอยากบอกคือ ทุกจุดถ่ายรูปที่ Biei ห้ามเดินเข้าไปนะคะ  จะมีป้ายปักติดไว้ทุกจุดเลย  เพราะพื้นที่หิมะขาวๆ ที่เราเห็นนั้นคือพื้นที่การเกษตรของชาวบ้าน การเดินเข้าไป จะทำให้พืชผลเสียหาย และเป็นการบุกรุกพื้นที่ส่วนบุคคลด้วยนะ

My Life My Travel