วันอาทิตย์, 24 พฤศจิกายน 2567

เที่ยวฮ่องกงด้วยตัวเอง +++ ตอนเดียวจบ

เที่ยวฮ่องกงด้วยตัวเอง ฮ่องกงเที่ยวเองได้ไม่ง้อทัวร์

สวัสดีคะ ..วันนี้นุ้ยจะมาชวนทุกคนจูงมือกันเที่ยวฮ่องกง
แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับการเที่ยวต่างประเทศของนุ้ย  แต่ก็เป็นครั้งแรกสำหรับการเที่ยวเอง  ปกตินุ้ยจะเดินตามหลังเพื่อนตลอด เพื่อนว่าไงว่ากัน  เพื่อนไปไหนไปด้วย  เพื่อนกินอะไรเราก็กินอันนั้น
แต่ครั้งนี้เที่ยวเอง วางแผนเอง มั่วเอง และก็หลงเอง
ภาษา..ไม่ต้องพูดถึง  yes , no,  ok,  thank you ได้เท่านี้ แต่เอาหว่ะ พื้นฐานสมัย ม.ต้น มันต้องมีฝังอยู่ในหัวบ้างละ และที่สำคัญ คนที่นั่น เขาก็ใช่ว่าจะพูดอังกฤษกันได้ทุกคน  ภาษามือเข้าใจกันดีที่สุด พร้อมแล้วก็อย่ามัวรอ มองหาวัน หาตั๋ว หาที่พัก หาข้อมูล และหาคนถ่ายรูปให้เรา ในที่สุดก็มีคนติดกับดักยอมไปกับเรา  ขอขอบคุณพี่สาวใจดีที่ไปเที่ยว และเป็นช่างภาพให้เรานะคะ

ปล. สามารถติดตามและพูดกับนุ้ยที่นี้เลยค๊า My Life My Travel

 

หลังจากได้เที่ยวบิน ที่พัก กันแล้ว มาเริ่มวางแผนเที่ยวกัน แต่ของนุ้ยสลับสับเปลี่ยนทุกวัน ไม่ค่อยตรงตามแผนที่วางไว้  วันเที่ยวจริงออกมาตามนี้คะ

วันที่ 1 (หมายถึงเช้าอีกวันนะคะ ไม่รวมวันที่เดินทางไปถึงเพราะถึงดึกพอสมควร)   กินติ่มซำร้าน London Resterant , ไปเดินเล่นย่าน Wan chai , กินบะหมี่ mak’s nooddle  และเดินถนน Hollywood  และไปชมวิวที่ The Peak’s Tram ปิดท้ายมื้อค่ำด้วย Sushi one
วันที่ 2 ไปทานโจ๊กเจ้าอร่อย  Nathan Noodle and Congee  ก่อนจะมอบเวลาทั้งวันให้ กับ Dineyland  ปิดท้ายมื้อค่ำด้วย Sushi one
วันที่ 3  Nan Lian Garden , Chi Lin Nunnery , wong tai sin temple , ซาลาเปาอบ Tim Ho Wan อิ่มแล้วไปรอดู SOL (symphony of light)  เดินเล่น Temple street nigth market และ Lady market
วันที่ 4 อาหารเช้าติ่มซำ dragon court , ปิดท้ายที่นอนปิง ช้อปปิ้ง city gate ขึ้นเครื่องกลับจ้า

แผนที่ MTR คะ ควรพกติดตัวไว้ มันทำให้เราสะดวกขึ้นเยอะเลย

แผนพร้อมข้อมูลพร้อม  ไปกันเลย

ครั้งนี้เราเดินทางกันด้วยแอร์เอเอเชีย  โดยจองผ่าน  Traveloka 

ลองเช็ค ราคาตั๋วเครื่องบินกันได้เลยที่ลิงค์นี้  https://www.traveloka.com/th-th/airasia

นุ้ยชอบจองตั๋วผ่าน Traveloka เพราะมีโปรโมชั่นออกมาบ่อย  และยังมีโค๊ดส่วนลดอีกมากมาย 

แนะนำให้เพื่อนๆ สมัครสมาชิกนะคะ เพราะจะมี mail ส่วนลดส่งมาให้เราบ่อยมาก 
วันแรกของการเดินทาง เป็นช่วงเวลาเย็น ตื่นเต้นอยู่นะคุณ เช็คอินมาเรียบร้อย เหลือโหลดกระเป๋า

จะได้รับเอกสารผ่าน ต.ม. มาด้วยนะจ๊ะ กรอกให้เรียบร้อยก่อนผ่านน๊า

ฝนพึ่งหยุดตก แต่ลมยังแรงมากๆ

หลับสักตื่นสองตื่น  ถึงแล้วค๊า

 

เมื่อมาถึงสนามบินฮ่องกงหลังจากผ่าน ตม. มาแล้ว
นุ้ยว่าหลายคนมักจะกังวลกับการผ่าน ตม. โดนเฉพาะนุ้ย คิดในใจอย่าถามอะไรนะ ตอบไม่ถูก  แต่เตรียมทุกอย่างติดตัวไว้พร้อมไม่ว่าจะที่พัก ไฟท์บิน  แต่ปรากฏว่าผ่านฉลุยคะ ไม่ถงไม่ถามสักคำ ยิ้มอย่างเดียว จะมีถามแค่ฝั่งไทยตอนขาออก แซวว่าเปลี่ยนทรงผมทุกปีเลยนะ  เริ่มนอกเรื่องละ
กลับมาที่สนามบินฮ่องกงกันค่ะ มาถึงปุ๊บ ซื้อบัตร Octopus หรือเจ้าบัตรปลาหมึกไว้ก่อนเลยค่ะ เพราะทำให้ชีวิตเราสะดวกขึ้นเยอะมาก เพราะสามารถใช้ได้ทั้งรถไฟ รถเมล์  เรือสตาร์เฟอรี่ เซเว่น
ซึ่งเจ้าบัตร Octopus เนี๊ยะ เราหาซื้อได้ที่ เคาเตอร์ Airport Expess หรือ Costomer Service Centre ของรถไฟใต้ดินได้ทุกสถาน  แต่ถ้าในสนามบิน เดินออกมาปุ๊บ เราก็จะเจอเลยคะ อยู่ใกล้กับแม็คโดนัล

ส่วนราคาในการซื้อครั้งแรก
– ผู้ใหญ่ ราคา HK$ 150 (มัดจำบัตร 50 ที่เหลือจะเป็นเงินที่เราใช้ได้ 100)
– เด็กและผู้สูงอายุ ราคา HK$ 70  (มัดจำบัตร 50 ที่เหลือจะเป็นเงินที่เราใช้ได้ 20)

***ครั้งต่อไปเติมขั้นต่ำครั้งละ 50***

** ทุกครั้งที่เราใช้บัตรจะแสดงยอดเงินคงเหลือให้เราดูว่าเหลือเท่าไหร่ ถ้าลืมสังเกตตามสถานีจะมีตู้ให้เราเช็คดยอดได้นะคะ ว่าคงเหลือเท่าไหร่ และไม่ต้องกังวลว่ายอดที่แสดงเราต้องเหลือไว้ 50 นะ  เพราะยอดที่แสดง คือยอดที่เราสามารถใช้ได้คะ***
หรือจะดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ Octopus card นะจ๊ะ

http://www.octopus.com.hk/home/en/index.html

 

ต่อมาเราไปซื้อซิมคะ เป็นพวกติดเน็ต ติดโทร  นุ้ยซื้อที่ ร้าน 1010 ร้านสีเหลืองๆ นี่เลยคะ ราคา HK$118 ใช้เน็ตได้ 4 G โทรได้ HK$ 48
หรืออีกหนึ่งวิธีนั่นคือซิมฟรี ของ i-sim ลองหาข้อมูลดูนะ เพราะนุ้ยไม่ได้ใช้วิธีนี้ แต่เพื่อนที่ไปด้วยกันเขาได้มา
แถมอีกๆ ที่สนามบินมีให้เช่า pocket wifi ด้วย ค่าใช้จ่ายนุ้ยไม่ได้ถาม (กลัวพูดกับเขาไม่รู้เรื่อง)

 

ได้เวลาไปที่พักกันแล้วละคะ เวลาเดินเร็วจริงๆ นุ้ยพักย่านมงก๊ก ค่อนข้างเดินทางสะดวก ติดถนนใหญ่ ใกล้สถานี MRT
แต่นุ้ยเลือกเดินทางไปที่พักด้วย รถเมล์คะ สาย A21
ให้เรามองห้าป้าย To City ไว้คะ เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ

จะมาเจอป้ายนี้ ให้เลี้ยวขวา

แล้วก็เล็งหาสายรถที่เราจะไปเลย ชอบที่นี้อะเวลาขึ้นรถเขาเข้าแถวกันเป็นระเบียบมาก
อ้อลืมบอกว่าค่ารถเมล์ HK$ 33 ใช้เวลาประมาณ 45 นาที นุ้ยลงป้ายที่ 6 ป้ายรถเมล์อยู่หน้าตึกเลยทีเดียว

ทีนี้เรามาดูห้องกันบ้าง ที่พักของเราคือ  

Kowloon Mongkok 1812 Guest House

ตึกนี้จะเป็นที่พักแบบโฮสเทล มีหลายๆ ที่อยู่รวมกันแต่แบ่งกันเป็นคนละชั้น อันนี้ลองเลือกดูและเสี่ยงดวง ก็เราเน้นประหยัด แต่ตอนเลือกนุ้ยเน้นดูคะแนนที่พัก และคอมเม้นท์ ว่าเป็นไง แต่ปรากฎว่า คะแนนสูงใช้ได้ และไม่มีคอมเม้นท์ ที่แย่ๆ ก็เลยจองที่นี้ อยู่ชั้น 23
ประตูมี 2 ชั้น ค่อนข้างปลอดภัยค่ะ

ภายในห้อง ไม่ได้กว้าง  แต่ก็ไม่ได้แคบจนเกินไป เจ้าของพูดอังกฤษได้ ใจดี แนะนำทุกอย่างแม้กระทั่งแชมพูกับสบู่

ในห้องน้ำมี แชมพู สบู่ แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว ถือว่าครบเลยคะ แต่ห้องน้ำแคบนะ แค่พอหมุนตัวไปมาได้

ข้าวของเครื่องใช้อย่างอื่น ถือว่าใช้ได้เลยคะ ราคาที่นุ้ยจองมาตกต่อคืนคนละ 6 ร้อยกว่าบาท
มีเครื่องทำน้ำอุ่น มีกาน้ำร้อน ไดรฟ์เป่าผม น้ำเปล่า แก้วน้ำ รองเท้า แอร์ และที่สำคัญ สะอาดคะ นุ้ยทิ้งของมีค่าไว้ทุกวัน ไม่ว่าจะเลนส์บ้าง ipad  โน๊ตบุ๊ค ของไม่เคยหาย  (แต่ครั้งต่อไปอาจไม่แน่ ทางที่ดีควรระวังไว้คะ อย่าขี้ลืมเหมือนนุ้ย)

เพียงพอสำหรับข้อมูลการเตรียมตัว เตียมพร้อมและที่พัก

 

เริ่มสตาร์ทการหลง ณ บัดนาว

—- วันที่ 1 —-
เช้ามาในวันแรกที่เราจะออกเที่ยวกัน กองทัพย่อมเดินด้วยท้องคะ เดินและก็เดิน หาของอร่อยกินกันแถวๆ ที่พักย่านมงก๊กนี่แหละคะ

ตอนแรกตั้งใจกินอีกร้าน หาข้อมูลมาดิบดี แต่เอ๊ะ ร้านหายไปไหนหว๊า  เอาไงละทีนี่ เปิดสิคะเปิดแผนที่ เปิดหนังสือ เช้านี้จะกินอะไรดีน๊า

ในที่สุดก็มาหยุดกันที่ร้านนี้คะ London restaurant
ร้านนี้อยู่ย่านมงก๊ก ถนน Nathan ตึก Good Hope Bldg ชั้น3
เปิดเวลา 7.00 -24.00 น

ร้านค่อนข้างกว้างมาก กินเนื้อที่ทั้งชั้นเลยก็ว่าได้ คนส่วนใหญ่ที่มากินจะเป็นคนพื้นถิ่น และสูงวัย เราทำตัวกลมกลืนไปละกัน
จะมีรถเข็นมาเสิร์ฟ ตลอด เผื่อบางอย่างเราไม่ได้สั่ง แต่เข็นมาเผื่อเราเห็นแล้วอยากกิน  ก็เก๋ไปอีกแบบ

มาถึงหน้าตาเมนู ตอนแรกแอบเศร้ามีแต่ภาษีจีน  แต่รื้อไปรื้อมา มีแบบรูปภาพ ง่ายเลยคะที่นี้ จิ้มๆ ชี้ เลือกตามเลขได้เลย

จานแรกนุ้ยไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่คล้ายๆ ฮะเก๋าเอาไปทอด แต่จะเป็นไส้หมูผสมกุ้งนะ ก็อร่อยดี ลูกใหญ่มาก

ต่อมาเป็นก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้กุ้ง  ต้องบอกว่าถูกใจคนรักกุ้งแบบนุ้ยเป็นพิเศษ เพราะกุ้งมาเป็นตัว ตัวใหญ่ด้วย และหลายตัวคะ อร่อยเต็มคำ

เมนูนี้เห็นปุ๊บรู้เลยว่าคือ ฮะเก๋าไส้กุ้ง   กุ้งมาเป็นตัวเหมือนเดืม เนื้อแน่น แป้งไส้ นิ่ม อร่อยชอบๆ

ส่วนซาลาเปา ไส้อร่อยคะ แต่แป้งนุ้ยว่ามันแข็งไปนิดนึง

น้ำชาเติมได้ตลอด (คิดตังค์ป่าวหว๊า)

สรุปกินไป 4 อย่าง แต่นี้เป็นบิล ที่ยังไม่ครบนะ เพราะตอนจ่ายเงินจะเป็นอีกแบบ บวกเซอร์วิสชาร์จด้วย
แต่จะบอกว่ากินทุกร้าน ร้านนี้กุ้งตัวใหญ่สุด รู้สึกคุ้ม และอร่อยมาก

 

กินอิ่มแล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อคะ ปลายทางของเราไกลสักหน่อย เพราะจะไปเดินเล่นย่านเมืองเก่า
Wanchai นั่นเอง ซึ่งการเดินทางนั่งรถไฟสายสีน้ำเงินลงสถานี wan chai เลยคะ
แต่ เอ้ !!!  สังเกตเห็นว่าแต่ละสถานีสีต่างและสวยซะด้วย เอาหว่ะ ใครชอบไม่ชอบ ไม่รู้ แต่เราชอบ ถ่ายมันทุกสถานที่ผ่าน เริ่มจากมงก๊กนี่แหละ
เปลี่ยนสายที่สถานที่ Admiralty

และสิ้นสุดที่สถานี Wan chai

เดินออกทางประตู A3 เจอถนนใหญ่ ข้ามไปยัง Toys Street แล้วเดินไปเรื่อยเลยคะ

 

ไปรษณีย์เก่าหว่านไจ๋  สวยดีนะ  ปัจจุบันไม่ได้ใช้เป็นที่ทำการไปรษณีย์แล้ว แต่ยังคงอนุรักษ์ไว้

ด้านในยังมีข้อมูลอหลายอย่าง หนังสือ และเจ้าตู้นี้

เดินมาเรื่อยๆ เราจะมาเจอวัด Pak Tai Temple นุ้ยเป็นสายธรรมะ ไปไหนต้องเข้าวัดตลอดสินะ

ธูปในวัดที่ฮ่องกง แปลกตา ตอนแรกนุ้ยคิดว่าคือซุ่มอะไรสักอย่าง แต่พอดูดีๆ อ้าวมีควันด้วย ธูปนี่น๊า (เอ๋อตลอด)

 

ด้านในจะมีรูปปั้นเทพเจ้าหลายองค์ แต่ที่เป็นองค์ประธานคือเทพเจ้าปักไต้ เป็นเทพแห่งเจ้าทะเล ชาวบ้านเชื่อว่าสามารถปัดเป่าโรคร้ายได้

แต่เหลือเชื่อว่า วัดนี้จะตั้งอยู่ท่ามกลางตึกสูง

ซึ่งเป็นแบบนี้ทุกวัด คือตั้งอยู่ท่ามกลางเมือง ซึ่งต่างจากบ้านเรา แต่แม้ว่าจะอยู่กลางเมือง กลางตึกสูง แต่เมื่อเข้าไปด้านในก็ยังคงความเงียบสงบ และเต็มไปด้วยพลังศรัทธา

เดินค่ะเดินไปเรื่อยๆ มีเรื่องราวซ่อนอยู่ในทุกซอกมุม  ย่านนี้คนจะไม่เยอะมาก เราเดินเล่น ถ่ายรูปได้ไม่เบื่อเลยละ

ถึงบทที่จะต้องสร้างภาพ เฮ้ย! เก็บภาพตัวเองก็ต้องเก็บเป็นที่ระลึก กันสักนิดค่ะ

ย่านนี้จะมีร้านน่ารักๆ เพียบ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ

เดินเล่นได้พักใหญ่ ถ่ายรูปกันหนำใจ มื้อเที่ยงนุ้ยเล็งร้าน Mak’s Nooddle ไว้  นั่งรถไฟ สายสีน้ำเงิน มาลงสถานี Central  ร้านตั้งอยู่ถนน Wellington

ร้านนี้เลยคะ

อย่างแรกผักคะน้าฮ่องกง กับซอสน้ำมันหอย สั่งตามโต๊ะข้างๆ เลยคะ สงสัยว่าทำไมถึงสั่งกันทุกโต๊ะ แต่พอกินมันอร่อยดี

บะหมี่เกี๊ยวหมู  แต่พอลองชิมจะเป็นหมูและกุ้งผสมกันและมีผักอยู่ด้วยนิดหน่อย น้ำซุปอร่อยดีคะ ราคาชามละ 39 เหรียญ

บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง  น้ำซุปและเส้นทุกอย่างเหมือนกัน ต่างกันแค่เกี๊ยว ลูกเล็กกว่าแต่ให้มาในบริมาณที่เยอะกว่า ราคา 35 เหรียญ  ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษ สั่งง่ายคะ

 

อิ่มอร่อยไปแล้ว ไปเดินเล่นกันต่อให้ย่อย บริเวณนี้ไม่ห่างจากถนนฮอลิวู้ด มากนัก ไปถ่ายรูปเล่นกันย่านนั่นแล้วกัน

แต่ดันมาติดกับดักที่ร้านนี้คะ  เห็นคนมุงกันเยอะ ไอ้เราก็เป็นเหยื่อการตลาด คนเยอะมันต้องอร่อย รออะไรละรีบวิ่งไปเข้าคิวสิคะ

แค่เห็นโคนหน้าร้านก็น่ากินแล้ว  แล้วเห็นแต่ละคนถือมานะ แบบน้ำลายไหล และน่ากินมาก

แต่พอของนุ้ยทำไมออกมาเป็นแบบนี้
สาเหตุที่เป็นแบบนี้….เพราะมันแพงคือแบบไม่น่าคิดเป็นเงินไทย พอคิดเป็นเงินไทยแล้วกินไม่ลง คือแอบงก
ได้มาแค่นี้คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 250 บาท ซึ่งถ้าเป็นแบบโคนสวยๆ หลายๆ ลูกคือ เกือบ 500 บาท เก็บใจมากินติมบ้านเรา
แต่คะแต่…..ไอศครีมอร่อยมาก  จนอยากกลับไปซื้ออีก แต่โดนเบรกว่ารอนาน ไปต่อได้แล้ว

เวลาที่เหลืออีกนิดหน่อยก็ไม่เดินเล่นกันต่อที่ถนนฮอลิวูด  ตั้งใจจะไปไหว้พระที่วัดหมั่นโหม่ แต่วัดกำลังปรับปรุงซ่อมแซม

จึงได้ถามริมถนนมาแทน  เดินเล่นถ่ายรูปอย่างหนำใจ  ไปต่อกันที่ปลายทางสุดท้ายของวันนี้

นั่นคือ Peak Trem  
การเดินทางได้สองแบบนั่น เราจะนั่งรถเมล์ขึ้นไป    หรือ เก๋ๆ ตามกระแสหน่อยก็รถรางคะ และแน่นอนอย่างเราไปแล้ว ต้องได้อะไรที่แบบว่าเก๋ๆ เพราะไม่รู้จะได้ไปอีกเมื่อไหร่ การเดินทางไป Peak Trem   นั่ง MTR สายสีน้ำเงินลงสถานี Central เดินออกทางประตู K2 เจอสวนสาธารณะเลี้ยวขวา เดินไปเรื่อยๆ เจอถนนข้ามไปอีกฝั่ง เดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะเจอคะ

 

ตั๋วราคาไปกลับ 83 เหรียญ แนะนำว่าให้ซื้อมาก่อนนะ เพราะจะถูกกว่า และไม่ต้องมาเข้าคิวรอแบบนาน คิวยากมาก

แต่คุณคะ จุดที่ชาวบ้านเขาไปดูกัน รอชมแสงสี มุมที่เขาว่ากันว่าสวยที่สุด นุ้ยไม่ได้ดูคะ คุณชายเขาพาเดินกันจนขาลากมาอีกทางนึง  เพื่อไปนั่งรอแสงที่สวย และมุมที่เด็ดกว่า   และทันใดนางยักษ์ก็ปรากฏตัวหันไปถามว่า รู้แบบนี้ทำไมไม่นั่งรถเมล์มา ประหยัดกว่าตั้งเยอะ

และดูสิ สิ่งที่เราคาดหวัง ว่ามันต้องสวยแน่ๆ ทำไมฟ้าขาวขนาดนี้ หมอกจ้าจะมาลงหนักอะไรตอนนี้  หรือนี้ควันจากอินโด (ไม่ใช่ล่ะ)

คือมีคำถามในใจ มาฮ่องกง คาดหวังสามีพามาช้อป  แต่นี่พามานั่งรอแสง ที่รักคะคือเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ

แต่พอตกค่ำ แสงเริ่มเปลี่ยน มันสวยมาก แม้จะยังมีหมอกมาบดบังอยู่บ้าง

ซึ่งทำให้รู้ว่า มุมด้านตรงนี้สวยกว่าด้านบนนั่นเยอะ เห็นมุมที่กว้างกว่า ไม่ต้องไปเบียดแย่งกันถ่ายรูป

บอกต่อเลยว่าให้มาดูจุดนี้นะ มันสวย แต่นุ้ยเก็บรูปมาได้เท่านี้ ที่จริงก็มากกว่านี้ แต่ทำเมมการ์ดหายไปหนึ่งอัน คือของวันแรกและวันที่ 2 ของกล้องอีกตัว

และฝากทิ้งทายกันอีกนิดสำหรับ Peak Tram ขากลับรถรางรอนานมาก ยืนกันขาแข็งเลยทีเดียว  ถ้ามีโอกาสรอบหน้านั่งรถเมล์แน่นอน

หลังจากอิ่มเอมกับวิวสวยๆ แล้ว แต่ท้องของเรายังคงร้องแบบไม่หยุดหยั้ง เพราะนี้ก็ป่าเข้าไปเกือบ 2 ทุ่มแล้ว  นุ้ยกลับมากินอาหารใกล้ๆ กับที่พัก วันนี้นุ้ยกินร้าน Sushi one  ตั้งอยู่ชั้น 3 ตึก Grand อยู่ตรงทางออก E2 สถานีMTR  Mongkok
คิวยาวอีกเช่นเดิม แต่เขาบริหารคิวได้ดี ยืนรอแปบเดียวคะ
ทำไมต้องมากินร้านนี้ …. เพราะเรารู้มาว่าร้านนี้ลด 50 % หลัง 3 ทุ่ม  พร้อมแล้วลุยกันเลย

แต่จะบอกว่านุ้ยรู้ว่าลด 50 % หลังสามทุ่ม แต่ไม่รู้ว่าลดเฉพาะซูชิ และซาซิมิ ปรากฏว่าสั่งอย่างอื่นมาเพียบ
เอาเป็นว่ารู้กันนะว่า ได้เฉพาะพวกชูชิ และซาซิมิ

2 จานนี้ไม่ลด แต่อร่อยดีนะ

ที่เหลือลดหมด

ขอบกว่าเนื้อสดและอร่อยมาก หั้นมาชิ้นหนาเต็มคำ

วันแรกหมดไป อิ่มมากแทบคลานกลับห้องกันเลยทีเดียว  อร่อยทุกสิ่งอย่าง

 

—-วันที่ 2—-

เช้าวันที่สองมาถึง วันนี้ตั้งใจว่าทั้งวันจะไปทิ้งตัวอยู่ที่ Disneyland เอาให้มันคุ้มค่าบัตรกันไปเลย
ทุกวันในฮ่องกงของนุ้ยแทบจะไม่มีวันนี้ที่ตื่นแบบเช้าตรู่เลย เน้นแบบสบายๆ ตื่น 7 ทุกวัน บางวัน 8 โมง ซะด้วยซ้ำ
เช้านี้นุ้ยเลือกร้าน  Nathan Noodle and Congee แต่การหลงและมึนของนุ้ยเริ่มตั้งแต่เช้าเลยคะ ลง MTR ผิดสถานี เดินกันแบบยาวๆ เลยทีเดียว ซึ่งแนะนำว่าถ้าจะมาร้านนี้ให้ลงที่สถานี Jordan หรือจะลงผิดแบบนุ้ยที่ Yau Ma Tie ก็ได้นะ แต่เดินไกลกว่ากันเยอะเลยละ

หลังจากตื่นสายสุดชิลแล้ว ก็มาเดินกันเหงื่อตก ออกผิดประตูด้วย แต่ยังไงเราก็มาถึงร้านคะ  ร้านจะใกล้ๆ กับ Novotel  หน้าร้านจะมีป้ายภาษาไทยว่าไม่ลองไม่รู้ พนักงานพูดไทยได้นะคะ  ไม่ได้ชัดมากแต่เราก็ฟังรู้เรื่อง

 

ร้านนี้ขายทั้งโจ๊ก และบะหมี่ แต่วันนี้สั่งโจ๊กกันหมดเลย  ชามแรกมาเป็นโจ๊กเป๋าฮื้อ คุณชายกินบอกรสชาติปกติทั่วไป

ชามที่สองโจ๊กปลา นุ้ยก็ว่ามันเฉยๆ นะ ไม่ได้อร่อยมากมาย

ที่ขาดไม่ได้คงเป็นปาท่องโก๋

นำมาใส่โจ๊กก็อร่อยดี กินเปล่าๆ คงต้องแล้วแต่คนชอบ

และเมนูนี้พร้อมนำเสนอ ตับหมู นิ่มมาก ไม่คาว อร่อยคะ

กินเสร็จอิ่มท้อง  พร้อมไปย้อนวัยเด็กแล้วละคะ   รอบนี้เดินใกล้ขึ้นที่สถานี Jordan

 

ปลายทางของเราจะต้องไปที่สถานี Disneyland สายสีชมพูนั่นหมายความว่านุ้ยต้องเปลี่ยนรถถึง 2 ครั้ง

กะเวลาได้เป๊ะมาก มาถึงตอนพึ่งเปิดพอดี ผู้คนพึ่งเริ่มทยอยกันมา

มาถึงแล้วก็จัดสักหน่อย กับมิกกี้เม้าท์พระเอกของที่นี้

 

ที่นี้มาถึงเรื่องตั๋วกันสักนิด นุ้ยซื้อมาล่วงหน้าแล้วเหมือนกัน แต่ที่นี้ไม่ต้องรอคิวนาน แต่ราคาที่ซื้อมาล่วงหน้าถูกกว่านิดหน่อย ประมาณ ร้อยสองร้อย

เข้าไปด้านในกันเลยค่ะ

 

เห็นเด็กๆ ใสๆ โพสท่ากันน่ารัก คิดรึว่าป้าจะยอม

สิ่งแรกที่เล่นเหมาะกับวัยใสๆ อย่างนุ้ยมาก ฮ่าๆ อายมั๊ย ไม่อาย เพราะมีแต่ผู้ใหญ่เล่น

 

ปสายโหดบ้าง

สนุกดีนะ ตื่นเต้นระดับปานกลางๆ

โซนนี้เน้นถ่ายรูปอย่างเดียวไม่ได้เล่นอะไรเลย

 

มาถึง Toy story มีให้เล่นหลายอย่าง คะ

ตัวนี้หวิวๆ นิดหน่อย ตามอายุที่มากขึ้น  แต่จำนวนรอบน้อยไปนิด จะเล่นอีกรอบก็รอคิวนาน

แต่ที่เด็ดอยู่ที่เครื่องนี้เลยคะ ขอบอกว่านุ้ยยืนกรี๊ดข้างล่างอย่างเดียวคะ ไม่ได้ขึ้น  อันนี้ยอมรับว่าป๊อด

 

เล่นจนเหนื่อย เดินไปเรื่อย มีแต่มุมน่ารักๆ

เปลี่ยนมานั่งดูการแสดงแบบนิ่งๆ ดีกว่า

 

เล่นมันทุกอย่างที่มีเวลาพอ แต่รอคิวนานไปนิด นี่ขนาดไปวันธรรมดา ไม่ใช่เสาร์อาทิตย์  แต่เอานา มาเที่ยว อย่าไปซีเรียสกับเรื่องแค่นี้

 

แล้วนุ้ยก็เล่นโน่นนี่นั่นจนมืด  เล่นจนลืมไปว่าช่วงเวลาบ่าย 3 จะมีขบวนพาเรด  ไม่เป็นไรยังรอบค่ำอีกหนึ่งรอบ

และอยากบอกว่าในช่วงเวลากลางคืนที่นี้สวยมากๆ เหมือนเมืองในเทพนิยายเลยคะ

 

ขบวนพาเรดจะเริ่มในตอน 1 ทุ่ม เราก็เดินเล่น รอเวลาไปเรื่อยๆ

 

และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง ของจริงอลังการกว่านี้มากนุ้ยถ่ายมาได้น้อยนิด

 

และปิดท้ายของค่ำคืนนี้ไว้ด้วยพระเอกของงาน

สำหรับมื้อค่ำนุ้ยยังคงกลับไปกินSushi One เหมือนเดิม วันนี้กินคุ้มกว่าเดิม เพราะรู้แล้วว่า มีอะไรลดบ้าง

 

—-วันที่ 3—-

เช้านี้อิ่มท้องเบาๆ กันด้วยขนมปังคะ เพราะตื่นสายมาก

และปลายทางแรกของวันนี้คือ สวนหนานเหลียน
นั่ง MTR สายสีเขียว ลงสถานี Dimond Hill ทางออก C2 เดินไปตามทางเรื่อยๆคะ จะมีป้ายบอกตลอดทางเลย

เดินจากสถานี ประมาณ 300 เมตรเองค่ะ หาง่ายเดินทางง่ายมาก

 

สวนหนานเหลียน เป็นสวนสาธารณะที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในฮ่องกงคะ ตกแต่งเหมือนสวนในสมัยราชวงศ์ถัง

ศาลาจีน และสะพานไม้สีแดงสดนี้เป็นสัญลักษณ์ของสวนค่ะ

ภายในยังมีมุมพักผ่อน และร้านคาเฟ่สำหรับจิบชา ชิมกาแฟกันด้วยละ

ด้านหลังม่านน้ำตกจะเป็นร้านอาหารเจชื่อดัง แต่ทริปนี้เราไม่เน้นเจ ขอผ่าน

บรรยากาศภายในสวนช่างแตกต่างกับด้านนอกอย่างชัดเจน ตกสูงเสียดฟ้า แต่กึ่งกลางยังมีสวนที่สวย  และเงียบสงบ เป็นธรรมชาติมากๆ

 

ต่อจากนั้นนุ้ยเดินข้าวสะพานลอยมายัง สำนักชีฉีหลิน

เป็นสำนักชีในศาสนาพุทธ จุดเด่นอยู่ที่สถาปัตยกรรม ไม้สลัก และก่อสร้างโดยไม่ใช่ตะปูแม้แต่ตัวเดียว
อยากบอกว่าด้านในสวยมาก แต่ที่นี้ห้ามถ่ายรูปด้านใน

และสำหรับใครที่อยากไปไหว้พระ แนะนำควรไปก่อน 16.30 น. เพราะตัวอารามจะปิดก่อนพื้นที่ด้านนอก

ปลายทางที่ 3 ของวันนี้ ยังคงเป็นวัดคะ บอกแล้วว่าสายธรรมะ มากับคนรัก ก็เข้าวัดได้ ชวนกันทำบุญเยอะๆ ชาติหน้าจะได้เกิดมาคู่กันอีก
ปลายทางคือ วัดหว่องไท่ซิน  นั่ง MTR สายสีเขียวลงสถานี Wong Tai Sin ทางออก B3 แล้วเจอเลยคะ

ต้องบอกเลยว่าวัดนี้มวลชนมหาศาลคะ คนไทยเยอะมาก ตอนแรกลืมตัวคิดว่าอยู่ไทยนะเนี๊ยะ

เดิมทีจะรู้จักกันในนามวัดหวังต้าเซียน เป็นเพียงศาลเจ้าเล็กๆ ในย่านหว่านไจ๋  ต่อมาได้ย้ายที่ทำการวัดมาอยู่ที่ปัจจุบัน

ส่วนใหญ่จะมาขอพรเรื่องสุขภาพ  แต่นุ้ยเคยอ่านเจอข้อมูลบอกว่า มาขอเนื้อคู่ที่นี้ก็ได้นะ จะมีเทพเจ้าด้ายแดง
แต่เรื่องนี้นุ้ยไม่ได้หาข้อมูลไปแบบจริงจัง หากใครขาดคู่อยู่ลองศึกษาดูน๊า เรื่องแบบนี้ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล แต่กับใจคน ต้องใจแลกใจนะคะ

 

และหลังจากนี้จะเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างวกวนของนุ้ย ห้ามเอาแบบอย่างนะคะ

ปลายทางอาหารเที่ยงติดบ่าย ของวันนี้อยู่ที่ร้านซาลาเปาเอาในตำนาน Tim Ho Wan นี่ละคะคือจุดเริ่มต้นของการหลงคือมันมีหลายสาขา แล้วนุ้ยไปเปิดเจอรีวิวนึง บอกว่ามีสาขา Central
Shop 12A, Hong Kong Station (Podium Level 1, IFC Mall) , Central
เอาละสาขานี่แหละ น่าจะไม่ยาก อ่านไปอ่านมา งงคะ
มาเริ่มการเดินทางกันคะ ถ้าเรานั่งมาลงที่สถานที่ Hongkong station ให้มองหาทางออก F ไว้คะ จะเจอได้ไม่ยากเลย
แต่สำหรับคนที่นั่งมาลงสถานี Central มาถึงแล้ว ให้มองหาป้าย Airport express ไว้คะ

 

เดินตามไปเรื่อย จนถึง Hongkong station มองหาทางออก F แล้วจะเจอร้านอยู่ซ้ายมือ ทีคนยืนกันอยู่เยอะๆ นั่นเลยคะ

หิวมาก แต่เห็นคิวแล้วเพลียจิต  แต่ก็เอาเหอะ มาตั้งไกล หลงอยู่ตั้งพัก รออีกหน่อยไม่เป็นไร เพราะจะทำให้เราอร่อยขึ้นแน่ๆ

 

ถึงคิวปุ๊บนั่งเลยค๊า สั่งๆ แบบไม่ยั้ง สิ่งแรก ซาลาเปาอบที่เขาว่ากันว่าอร่อยนัก  Baked bun with BBQ

และก็อร่อยจริงๆ ด้วย อร่อยมาก แป้งบางกรอบนิดๆ ยังมีความนุ่มด้านใน ไส้อร่อยมาก

Steamed fresh shrimp dumplings ฮะเก๋าไส้กุ้ง ร้านแรกที่กินอร่อยกว่า


ซี่โครงหมูอบเต้าซี่  อร่อยดีคะหมูนุ่ม

Steamed sparerib with black bean sauce

 

ขนมจีบหมู+กุ้ง
Steam pork dumplings with shrimp

ก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้กุ้ง

ค่าเสียหายของมื้อนี้ ไม่เยอะ แต่กินไปเยอะเลยคะ
ความเห็นส่วนตัวนะ นุ้ยว่าอร่อยแค่ซาลาเปาอบ ซึ่งลองกินร้านอื่นแล้วไม่อร่อยเท่า  แต่อย่างอื่นรสชาติทั่วไปกลางๆ แนะนำซื้อแค่ซาลาเปาอบ แบบกลับบ้านคะ จะได้ไม่ต้องรอคิว แล้วไปกินติ่มซำร้านอื่นแทน

อีกหนึ่งสิ่งอย่างที่มาฮ่องกง แล้วจะพลาดไม่ได้ คือไปดูการแสดงไฟ The Symphoy of Ligth บริเวณอ่าววิคตอเรีย
การเดินทาง นั่ง MTR ลงสถานที Tsim sha Tsui  ทางออก L6 เลี้ยวขาว

เดินตามทางไปเรื่อยๆ เลยคะ ที่เหลือก็นั่งรอเวลา

ยามเย็นที่นี้อากาศดีมากคะ ลมพัดตลอด นั่งดูเรือล่องไปมาก กับผู้คนมากมาย

 

และนี่คงเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของที่นี้

เมื่อดวงทิตย์คล้อยลับขอบฟ้าไปแล้ว  ก็ถึงช่วงเวลาแห่งสีสัน ตึกต่างๆ  ต่างเปิดไฟอวดโฉม สวยมากๆ เลยละ

 

นุ้ยนั่งรอและดื่มด่ำกับความสวยอยู่พักใหญ่ลมพัดเบาๆ นั่งเม้าท์กันไปเรื่อย ๆ

 

และตัดสินกลับ เพื่อไปเดินต่อที่ Temple street night market

MTR สายสีแดง ลงสถานี Jordan ทางออก A เลี้ยวขวา เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอคะ

ย่านนี้คึกคักน่าดูเลยคะ ร้านอาหารเยอะมาก

โดนเฉพาะร้านอาหารทะเล กุ้ง หอย ปูปลา  และทุกร้านจะเน้นขายปู ราคาไม่ได้ถูกๆ เลยน๊า  ปูหน้าตาเหมือนปูบ้านเราเลย งั้นอดใจกลับไปกินที่บ้าน

 

เดินอยู่ไม่นาน ค่ำคืนนี้ยังไม่จบ คืนสุดท้ายแล้วนี่นา  ไปต่อกันแถวที่พักแล้วกัน เพราะที่นั่นคึกคักสุดๆ ตลาดเลดี้ส์มาร์เก็ตนั่นเอง
MRT สายสีแดงเหมือนเดิม ออกประตู D3

เอาละย่านนี้คนมหาศาลอีกแล้ว อาจจะเพราะนี่คือวันเสาร์ วันหยุด คนเลยคึกคักขนาดนี้

 

มีห้างร้าน ร้านเสื้อผ้า อาหารการกินทุกรูปแบบ และที่เห็นเยอะมากที่สุดคงจะเป็นรองเท้า เดินกันตาลายเลยทีเดียว
และที่เห็นนุ้ยยืนด่อมๆ มองๆ อยู่นี่คือร้าน Sushi Express คะ ซึ่งถูกมาก คำละ 3 เหรีญ คิดเป็นเงินไทย ไม่ถึง 15 บาท  แต่รางกายรับปลาดิบไม่ไหวแล้ว และคิวยาวมาก  เลยขอยืนมอง เพื่อดูราคา  ที่ร้านนี้จะเป็นแบบสายพานนะค่ะ
ตอนคิดเงินคิดเป็นจาน จานละ 6 เหรียญ มี 2 คำ

มองอยู่พักใหญ่ให้ได้ข้อมูล แล้วเราก็เดินต่อ

มีรองเท้าทุกยี่ห้อ ทุกสายพันธุ์คะ แต่งบช้อปไม่มี เดินดูแล้วกัน

 

จะสุดท้ายมาหยุดอยู่ที่ร้านนี้ หาของอร่อยเข้าท้อง ก่อนไปหลับฝันดี พรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับแล้ว

จานใหญ่มาก รสชาติกลางๆ จานนี้นุ้ยจำราคาไม่ได้

ชามนี้มาแบบใหญ่จนกินไม่หมดเลยทีเดียว ราคา  39 เหรียญ

หมดไปอีกวัน ในฮ่องกง จูงมือกันหลงได้ทั้งวัน เดินออกผิดทางบ้างละ  ลงผิดสถานีบ้างละ

 

—-วันที่ 4—-

เช้าวันสุดท้ายของเรา ตื่นสายเช่นเคย วันนี้ออกจากที่พักเกือบ 9 โมงไปหาติ่มซำ แถวที่พักกิน

วันนี้กินร้าน Dragon Court ร้านนี้หาไม่ยากเลยคะ อยู่ใกล้ทางออก E2 สถานี Mongkok อยู่ด้านซ้ายมือ ตึกนี้เลยคะ

เดินขึ้นไปที่ชั้น 3

นั่งสบาย ร้านกว้างพอสมควร

 

ได้ที่นั่งแล้วก็มาสั่งกันเลย มีทั้งแบบภาษาจีน และอังกฤษ แต่สั่งไม่ถูกคะ อ่านแล้วก็งง

ส่วนภาษาจีนใบนี้ถูกมาก แค่ 12 และ 18 เหรียญ แต่ประเด็นคือสั่งยังไงละ ถามเอาแล้วกันวิธีการถามง่ายมาก คือชี้ว่าอยากได้แบบไหน เดี๋ยวเขาก็บอกเองว่าให้เลือกช่องไหน  เน้นฮา ค่ะ แต่อร่อย ราคาไม่แพง นุ้ยชอบ

และการจิ้มมั่วๆ อ่านแบบมั่วๆ ของเราได้มาตามนี้คะ ขนมปังหน้ากุ้ง

อันนี้คืออะไรก็ไม่รู้ แต่ก็อร่อยดีนะ มันคล้ายๆ แป้งนึ่งแล้วเอามาทอด

 

คล้ายฮะเก๋า แต่เป็นไส้ผัก อันนี้สั่งในเมนูภาษาจีน

อย่างน้อยก็สั่งมาถูกอย่างหนึ่ง ฮะเก๋าไส้กุ้ง

ก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้หมูแดง หั่นมาชิ้นพอดีคำ

และสุดท้ายซาลาเปาลาวา อร่อยมาก ถูกด้วยคิดเป็นเงินไทย ลูกนึงไม่ถึง 20 บาท

ค่าเสียหายของมื้อนี้ อร่อยแบบงงๆ สั่งไปมึนไป แต่หมดทุกอย่าง

วัดสุดท้ายแล้วกระเป๋าพร้อม แต่ยังไม่กลับนะคะ วันนี้เราจะไปไหว้พระใหญ่กันก่อน
การเดินทาง MTR สายสีส้ม ลงสถานี Tung chung

แต่ก่อนอื่นเราต้องเอากระเป๋าไปฝากก่อนคะ ที่ City gate มองหาทางออก C

ลงไปชั้น B2 ตามรูปจะเห็นสัญลักษณ์กุญแจ

แล้วเราจะมาเจอล็อคเกอร์ จะมีแบบช่องเล็กและใหญ่ ราคาต่างกัน เอาละสิ จำราคาไม่ได้ เด๋วกลับไปรื้อใบเสร็จเจอแล้วจะมาบอกใหม่นะคะ

ฝากกระเป๋าเสร็จแล้วไปไหว้พระใหญ่ ขึ้นกระเช้ากันค่ะ คนเยอะมาก คิวยาวมาก สิ่งที่นุ้ยแนะนำเลยคือ ซื้อตั๋วมาก่อนคะ ถ้าไม่ซื้อ ดูคิวด้านล่างเลยคะ ว่าเยอะจริงๆ

 

แม้จะซื้อมาแล้วก็คิวยาวเหมือนกันคะ

และอีกหนึ่งอย่างเป็นทริคนะคะ กระเช้าจะมีสองแบบคือ standard และ crystal
จะแตกต่างกันคือ Crystal จะเป็นกระจกใสตรงพื้น ตอนนุ้ยซื้อราคาแพงกว่า 220 บาท แต่นุ้ยแนะนำให้ซื้อแบบ cystal เพราะคิวน้อยกว่าเยอะมาก เร็วกว่า คนน้อยกว่า ทั้งขาไปและขากลับ  ซึ่งราคาไม่ได้ต่างกันมากคะ

ในที่สุดเราก็ได้ขึ้นกระเช้าแล้วค่ะ ตื่นตาตื่นใจตามประสา

ไม่นานเราก็ขึ้นมาถึงด้านบนแล้วคะ

 

มีทุกภาษาเลย มีภาษาไทยด้วย

ด้านบนมีร้านอาหาร เยอะแยะมากมายเลย แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของวันนี้

 

จุดประสงค์หลักของเราคือไหว้พระขอพร

ว่ากันว่า จะมีเวลามากหรือน้อย เราก็ควรจะแวะมาที่นี้ ไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึงฮ่องกง (จริงเปล่าน๊า)

 

ถ้าพร้อมแล้วใช้พลังศรัทธาที่มีเดินขึ้นบันไดกันเลยคะ เดินไปพักไป ถ่ายรูปไป ไม่เหนื่อยเลยคะ แถมอากาศดีมากๆ

เมื่อได้ไหว้พระขอพรเป็นสิริมงคลแล้ว ก็ได้เวลากลับกันแล้วละคะ มีกำหนดเวลาขึ้นลงด้วยนะคะ ว่าเราสามารถอยู่ด้านบนได้ถึงเวลากี่โมง

ขากลับเป็นช่วงเวลาเย็น แสงสวยมากๆ  ทริปนี้จบลงแบบแฮปปี้

 

และช่วงเวลาที่เหลือก่อนกลับสนามบิน คือช่วงเวลาของการช้อปปิ้งที่ City gate  ช้อปให้มันกระจาย เพราะนั่นเรารู้แล้วว่าตังค์เราเหลือเท่าไหร่  ช้อปไปเลย
นุ้ยไม่ได้สรุปค่าใช้จ่ายเป็นรายวัน และไม่ได้จดรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในแต่ละวันด้วย แต่พอจะสรุปได้ว่าทริปสำหรับสองคนรวมค่าที่พัก ค่าเครื่องบินแล้ว ประมาณ 3 หมื่น ซึ่งนั่นหมายความว่า คนละ15,000 บาทคะ
ไม่เน้นพักหรู ไม่เน้นบินแพง แต่เน้นกินอร่อย เน้นเที่ยวครบ หวังว่ารีวิวนี้จะมีประโยชน์สำหรับคนที่กำลังจะไปฮ่องกงนะคะ  และพูดคุยสอบถามเพิ่มเติมกันได้ที่นี้คะ https://web.facebook.com/MyLifeMyTravels