หลายครั้งของการเดินทาง เป็นเพียงการเดินทางไปให้รู้ เดินทางไปให้ถึง
แต่การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นแบบไม่ตั้งใจนัก เกิดขึ้นจากคำชวนของพี่สาวที่น่ารักคนนึง
และนุ้ยก็ตกปากรับคำไปแบบง่ายๆ เพราะไม่เคยไป และอยากจะไปเพื่อให้รู้ ไปให้ถึงสักครั้ง
แต่หารู้เลยไม่ว่า ….ครั้งนี้เป็นการเดินทางที่พิเศษกว่าทุกครั้ง
เพราะนุ้ยได้ไปสัมผัสชีวิต ของชาวมอญครอบครัวนึง
ซึ่งนี่แหละที่นุ้ยคิดว่า คือเสน่ห์ของสังขละ นอกเหนือจากสะพานไม้ ที่เป็นเอกลักษณ์
ปล. SR ในรีวิวนี้ มีเพียงการสนับสนุนตั๋วเดินทางจากภูเก็ต ถึง กรุงเทพฯ โดยสายการบินแอร์เอเชีย
ส่วนค่าใช้จ่ายอย่างอื่น … เป็นงบส่วนตัว ที่ทุกคนในทริปแชร์กัน ไม่ว่าจะอาหาร ที่พัก และค่าเช่ารถตู้
ครั้งนี้จากภูเก็ตสู่กรุงเทพฯ นุ้ยยังคงใช้บริการของแอร์เอเชียเหมือนเดิม
สายการบินที่ใครๆ ก็บินได้ ที่สำคัญจากภูเก็ต สู่กรุงเทพฯ มีถึงวันละ 12 เที่ยวบิน
มองเห็นเคาน์เตอร์เช็คอินคนเยอะ หันมาใช้บริการตู้เช็คอิน ทางโปร่ง ทำเองได้ง่ายๆ ไม่ต้องรอคิว หากใครไม่มีสัมภาระ แนะนำเลยคะ เช็คอินมาด้วยตัวเองจากเว็บเช็คอินได้เลย หรือตู้นี้เลย สะดวก ไม่ต้องรอจ้า
นุ้ยออกเดินทางล่วงหน้า ก่อนวันไปสังขละหนึ่งวัน เพื่อพบปะเพื่อนฝูงบ้าง ตามประสานานๆ ทีเข้ากรุงฯ
นุ้ยนัดแนะกับเพื่อนๆ และรถตู้ตอนประมาณ ตี 4 เพื่อเตรียมความพร้อม และจะได้ไปถึงสังขละเร็วๆ เนื่องจากเวลามีน้อยนิด เพียงแค่ 2 วัน 1 คืนเท่านั้น
ระหว่างทางนุ้ยแวะเติมพลัง ชาร์ตคาเฟอีนเข้าร่างกายที่ร้านบ้านกาแฟ เป็นทางผ่านมองเห็นได้ชัดเลยคะ
มีมุมให้นั่งพักได้เยอะเลยทีเดียว เมื่อหายเหนื่อยก็ออกเดินทางกันต่อ
มาเจอน้ำตก ริมถนน ชื่อน้ำตกเกริงกะเวีย ลงไปสูดอากาศแบปนึง
อากาศดีมากๆ น้ำตกกระไหลเป็นทาง เป็นน้ำตกที่เดินไปดูได้ใกล้มากๆ
หลังจากนั้นเราก็นั่งรถยาวตลอดทาง มุ่งหน้าสู่สังขละ และเมื่อไปถึงเป้าหมายปลายทางแรกของนุ้ยอยู่ที่ ด่านเจดีย์สามองค์ หรือที่เคยรู้จักกันในชื่อ หินสามกอง เป็นจุดบอกเขตผ่านทาง พรหมแดนไทย – พม่า
เพื่อข้ามฝั่งไปยังชายแดนพม่า ไปวัดเสาร้อยต้น โดยค่าผ่านด่านจากฝั่งไทย 10 บาท ฝั่งพม่า 40 บาท ต่อคน ส่วนค่ารถนุ้ยลืมแล้ว..ขออภัยสำหรับข้อมูลที่มาไม่ครบ
ข้ามฝั่งมาไม่ไกลนัก เราก็เดินทางมาถึงวัดเสาร้อยต้น เป็นวัดที่มีความวิจิตรด้วยลายไม้แกะสลัก
วัดเสาร้อยต้นเป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะ เคยจำพรรษา และสร้างไว้
เอกลักษณ์ ของวัดนี้คือมีเสานับร้อยต้น เป็นเสาไม้แดง แต่นุ้ยไม่แน่ใจว่าเป็นไม้ชนิดใด แต่ทำให้ดูมีความขลังมากๆ
วัดเสาร้อยต้นจะมีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นบนสุดห้ามผู้หญิงขึ้นไป แต่เด๋วพาขึ้นไปชมบรรยากาศที่ชั้น 2 กันคะ
ชั้น 2 จะเป็นห้องโล่งๆ มีพระประธาน อยู่ตรงกลางด้านในสุด
เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ได้พบเจอกับธรรมชาติที่สวยงามมากๆ
ด้านหลังวัด มีพระพุทธรูปจำนวน 120 รูป ตั้งแถวทอดยาว เป็นภาพที่สวยงามมาก
และห่างจากวัด เสาร้อยต้นไปไม่ไกลนัก ยังมีวัดเจดีย์ทอง
ซึ่งต้องเดินขึ้นบันไดไปบนยอดเขา ส่วนบันไดกี่ขั้นนั้นก็ไม่ได้นับเหมือนกัน ตอนแรกตั้งใจนับนะ แต่ปรากฏว่าเหนื่อย ตัวเลขปนกันหมดเลยคะ
เมื่อขึ้นไปถึงด้านบน เราได้พบกับเจดีย์ทอง กราบสักการะ
เดินดูบรรยากาศรอบ ๆ เจอรูปปั้นลิง 4 ตัว ปิดหู ปิดปา ปิดจมูก ปิดตา
เมื่อกลับมาถึงฝั่งไทยรีบเข้าร้านอาหารตามเสียงเรียกของน้ำย่อยเลยคะ
ร้านบ่อพลอยอยู่ใกล้ด่านเจดีย์ 3 องค์
จานแรกเป็นยำใบชา รสชาตินุ้ยไม่ค่อยคุ้นสักเท่าไหร่ แต่เพื่อนๆ บอกอร่อย
จานที่สองทอดมันปลากราย หนึบๆ
ต่อมาผัดเผ็ดหมูป่า จานนี้รสชาติดีเลยทีเดียว
จานนี้เป็นเหมือนเมนูที่ขาดไม่ได้ ไข่เจียว
และสุดท้ายเป็นแกงจืดเต้าหู้หมูสับ
หลังจากทานอาหารเสร็จ ปลายทางต่อไปคือแวะไปเยี่ยมเยียน ญาติผู้ใหญ่ที่นับถือกันของเพื่อนร่วมทริป ซึ่งเป็นชาวมอญ ทำให้นุ้ยได้รู้จัก และสัมผัสวิถีชีวิตอันเรียบง่าย
ทำให้ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะการใช้ชีวิต อาหารการกิน และความมีน้ำใจ
ซึ่งตลอดเวลาที่นุ้ยอยู่ในสังขละ ได้รับความช่วยเหลือมากมาย รวมทั้งหาข้าวปลาอาหาร อีกสองมื้อที่ทำให้อิ่มหนำสำราญ และความสุข
ต่อจากนั้นนุ้ยก็ไปกันต่อที่วัดกลางน้ำ โดยนั่งเรือจากบริเวณหมู่บ้านชาวมอญ ซึ่งพ่อ(ชาวมอญ) เป็นคนไปติดต่อมาให้ ในราคา 500 บาท นั่งได้ 8 คน
ระหว่างเดินอยู่..นุ้ยสังเกตเห็น ทุกบ้านจะมีลักษณะแบบนี้ ยื่นออกมานอกตัวบ้าน ก็ได้แต่แอบสงสัย จนได้ข้อกระจ่างว่า บริเวณที่ยื่นออกมานี้ คือบริเวณหิ้งพระนั่นเอง แต่ก็ไม่ได้ถามว่าทำไม ถึงต้องทำยื่นออกมาจากตัวบ้าน
เดินมาไม่ไกลนัก ก็ถึงบริเวณ บ้านริมน้ำ ที่นุ้ยจะต้องลงเรือแล้วคะ
ระหว่างทางจะได้พบเห็น แพบ้าน ซึ่งเปิดให้บริการเป็นบ้านพัก หลายแพเลยละ
อีกทั้งเพื่อนร่วมเดินทาง อีกหลายคณะ
วัดกลางน้ำ คือวัดวังกวิเวการาม หรือวัดหลวงพ่ออุตตมะ เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกันสร้างกับชาวกะเหรี่ยง ชาวมอญ
ต่อมาได้มีการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ เมื่อมีการกักเก็บน้ำ น้ำในเขื่อนท่วมตัวอำเภอ หมู่บ้าน ร่วมทั้งวัดวังก์วิเวการมด้วย
ทางวัดจึงได้ย้ายขึ้นมาอยู่บนเนินเขาพร้อมจัดสรรที่ดินให้กับชาวมอญ ได้อยู่กิน
ซึ่งนั่นหมายความ พื้นที่ทั้งหมดโดยรอบนี้ เมื่อก่อนคือหมูบ้าน นั่นเอง
แต่ร่องรอยของวัดวังก์วิเวการามแห่งนี้ กลับกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว ที่เมื่อใครมาเยือน เมืองสังขละ เมืองเล็กๆ เมืองนี้ ต้องห้ามพลาด
และได้นำรูปภาพของหลวงพ่ออุตตมะ มาวางไว้สำหรับคนที่แวะเวียนผ่านมา ได้กราบไหว้บูชา
จะมีเด็กๆ ชาวมอญ มาเดินขายดอกไม้ และบางคนก็อาสาเป็นมัคคุเทศก์ บอกเล่าเรื่องราว ความเป็นมา
ตกเย็นนุ้ยแวะไปถ่ายรูปตรงสะพานมอญ ชื่อเต็มๆ คือสะพานอุตตมานุสรณ์ เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย
เย็นวันนี้เป็นวันที่มีการเฉลิมฉลองเปิดสะพานใหม่ แทนสะพานเก่าที่ได้ พังลงไปด้วยกระแสน้ำป่า แสงสีช่างสวยงาม
หลังจากถ่ายสะพานมอญเสร็จ นุ้ยได้กลับไปยังบ้านของชาวมอญอีกครั้ง เพราะทุกคนในบ้านรอทานข้าวพร้อมกัน ดูเหมือนจะเป็นอาหารมื้อธรรมดา มื้อหนึ่ง แต่กลับแฝง อะไรไว้ด้วยอีกมากมาย ความสุข เสียงหัวเราะ และความอิ่มใจ และในคืนนั้น แม่(ชาวมอญ) ได้อนุญาตให้นุ้ยและเพื่อนนำชุดมอญไปใส่ เพื่อร่วมงานบุญในวันรุ่งขึ้นกว่าจะหาชุดที่ใส่ได้ ก็ทำเอารื้อกันหมดตู้เลยทีเดียว…และคืนนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันอย่างมีความสุข
เช้าอีกวัน พวกเราตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู เพื่อไปรอตักบาตรที่บริเวณสะพานมอญ
ตอนเช้าตรูแบบนี้ผู้คนยังดูบางตา อากาศค่อนข้างเย็นสบายเลยทีเดียว
ระหว่างรอพระมาบิณฑบาต ต่างก็แยกย้ายกันไปถ่ายรูปมุมโน่น มุมนี้
หมอกเริ่มปกคลุมพื้นที่ ชอบบรรยากาศแบบนี้เหลือเกิน
เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู ผู้คนเริ่มล้นล่าม ทุกคนมารอตักบาตร กันเต็มสะพานเลยทีเดียว
พลังศรัทธาที่มีมาอย่างล้นหลาม
ตักบาตรเสร็จ นุ้ยกลับมายังที่พัก เพื่อเตรียมตัว ไปร่วมงานบุญ
เลยถือโอกาส ถ่ายรูปที่พักมาฝากกัน เผื่อใครกำลังมองหาที่พัก สังขละอยู่นะคะ
เริ่มกันจากห้องนอน เป็นห้องสำหรับ 2 คน ราคาห้องละ 700 บาท แต่วันนั้นนุ้ย พัก 3 คน ทางรีสอร์ท เพิ่มที่นอนเสริมให้ คิดเพิ่มอีก 300 บาท
ลืมบอกไปว่า นุ้ยพักที่ Coffee Berry
เป็นรีสอร์ทเล็กๆ แต่น่ารักมาก ทุกมุมตกแต่งได้น่ารัก และมีธรรมชาติอยู่ด้วยเยอะ
ไม่ว่ามุมไหนๆ ก็น่ารักคะ แต่ที่นี้ไม่มีอาหารเช้านะคะ
ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสะพานมอญเท่าไหร่นัก สามารถเดินถึงคะ
และนอกจากจะเป็นที่พักแล้ว ที่นี้ยังเป็นร้านกาแฟ
ให้บริการกาแฟสด มีมุมน่ารักๆ ให้เลือกนั่ง
บริเวณหน้าร้าน เห็นรถคันนึงจอดอยู่ คิดว่าจอดเก๋ๆ ให้ถ่ายรูป ปรากฏเป็นรถของเจ้าของ
แอบปลื้ม น่ารักตามคอนเซ็ปต์ เลยคะ ทั้งสถานที่ และเจ้าของ
เตรียมตัว นั่นนี่กันเรียบร้อย พร้อมสำหรับการทำบุญในวันนี้กันแล้วคะ
ผู้คนเยอะแยะมากมาย ทั้งชาวไทย ชาวมอญ แต่ร่วมจิต ร่วมใจ ร่วมศรัทธา กันมาทำบุญ
ไปต่อกันที่เจดีย์ พุทธาคยา เป็นเจดีย์จำลองที่หลวงพ่ออุตตามะได้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุกระดูกนิ้วมือขวาขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์เจดีย์สีทอง สูงตะหง่าน สวยสง่า
หากมาเที่ยวสังขละ อย่าลืมแวะมาสักการะ องค์เจดีย์ พุทธาคยา กันนะคะ
..ในทุกๆ การเดินทาง ทำให้เราได้เห็นอะไรที่แตกต่างไปจากที่เคยเห็น ที่เคยเป็นมากมาย
ออกมาเปิดโลกกว้าง ออกมาเจอโลกใบใหม่ แล้วเราจะค้นพบตัวเอง ค้นพบความสุขที่ขาดหาย
สังขละ…เป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่ใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงกว่าจะไปถึง แต่นุ้ยเชื่อว่าหากใครได้ไปเยือนจะหลงเสน่ห์ เมืองเล็กๆ เมืองนี้แน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต วัฒนธรรม และธรรมชาติ ที่สวยงาม
สุดท้าย …..ขอขอบคุณทุก ๆ การเดินทาง ที่สอนให้นุ้ยได้เรียนรู้ และรู้สึกรักทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น…..
ขอบคุณ สำหรับทุกกำลังใจ
ขอบคุณ สำหรับทุกความเห็น
ขอบคุณ สำหรับทุกไลค์
ขอบคุณ สำหรับทุกแชร์
ขอบคุณ สำหรับโหวต
ขอบคุณ สำหรับทุกคนที่แวะเวียนเข้ามา
ขอบคุณ สำหรับพื้นที่การแบ่งปันแห่งนี้
และขอบคุณ มิตรภาพดีๆ ที่เกิดขึ้นในทริปนี้ ขอบคุณ ทุกๆ คนจริง ๆ และที่จะขาดไปไม่ได้ ขอบคุณ พ่อ แม่ (ครอบครัวชาวมอญ) มากๆ คะ
ปล. สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือพูดคุยทักทายกันได้ที่นี้ คะ
https://www.facebook.com/MyLifeMyTravel