7 Days in Fukushima กับเสน่ห์ที่ซ้อนอยู่

” Fukushima “

เล่าความหลังกันสักเล็กน้อย

เมื่อช่วงซากุระที่ผ่านมา นุ้ยก็ได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น แต่เป็นภูมิภาคคันไซ เกียวโต โฮซาก้า

เจอฝนเกือบทุกวันเลย  และในขณะเดียวกัน หลังจากนุ้ยกลับมาได้ประมาณ 3 วัน

เพื่อนโพสต์รูปซากุระรัวๆ และมันสวยมากๆ

สายตาเราก็จับจ้องเนอะ ว่ามันคือที่ไหน ปรากฏว่า คือ Fukushima

นุ้ยกับต้นก็แบบ …

มีคำถามเกิดขึ้นมาทันทีทันใด  ทำไมเราไม่เคยคิดจะไปที่นี่เลยหล่ะ   แล้วทำไมมันสวยแบบนี้

และหลังจากนั้นก็เริ่มนั่งเฝ้าตั๋วโปรจ้า … อย่าได้หลุดมานะ..พี่จะรีบบินไปหาในทันที

และแล้วทันที ที่ตั๋วโปรหลุดออกมา

การจองตั๋วเกิดขึ้นแบบไม่ดูวันดูคืน กับราคาโปรตอนนั้นของแอร์เอเชีย ไปกลับไม่ถึงหมื่น

จองเสร็จก็ไม่ได้คิดอะไรมาก …จนกระทั่ง ..เพื่อนก็ถามว่า ไปเดือนกันยา ไปดูอะไรเหรอ

ทำไมไม่รอใบไม้แดง ทำไมไม่รอหน้าหนาว ทำไมไม่รอซากุระ

 เราสตั๊นไปพักนึง..และปลอบใจตัวเองว่า

เชื่อเหอะ ญี่ปุ่น มันก็คือญี่ปุ่น ฤดูไหนๆ มันก็สวย

และรีวิวนี้จะทำให้เพื่อนๆ อยากเก็บกระเป๋าเที่ยว Fukushima  ในแบบของนุ้ยแน่นอน

รับรองว่าไม่หลง  เที่ยวเองได้ไม่ยาก

………  เพราะนุ้ยไป ทด ลอง หลง มาให้ก่อนแล้วจ้า

วันที่ 1 .. การเดินทาง จากเมืองไทยสู่เจแปน

ครั้งนี้เราเดินทางกับสายการบินแอร์เอชีย อย่างที่บอกว่าเรานั่งเฝ้ารอราคาน่ารัก  และเวลาก็น่ารักมากด้วย

เพราะนุ้ยเลือกบินไฟลท์ดึก   มาถึงสนามบินนาริตะ  ก็ตอน 8 โมงเช้า ออกเที่ยวต่อได้เลย

เข้าไปเช็คราคาตั๋วกันได้ ราคาน่ารัก www.airasia.com/

เครื่องบินเป็นลำใหญ่ 3 แถว แถวละ 3 ที่นั่ง

วันที่ 2 ..Fukushima ไปยังไง เที่ยวที่ไหนดี

เมื่อมาถึงสนามบินนาริตะ สิ่งแรกที่เราทำคือการไปแลกตั๋ว JR

เราซื้อ pass มาจากเมืองไทย  กับบริษัท  Japan All Pass

เป็นพาสที่ชื่อว่า  JR East Pass (Tohoku area)   ใช้เดินทางในภูมิภาค โทโฮคุ เช่น Aomori, Sendai รวมทั้ง Nikko

ใช้ได้ทั้งหมด 5 วัน  ภายใน 14 วัน นับตั้งแต่วันที่ไปแลกตั๋ว

นั่นหมายความว่า เราไม่จำเป็นต้องใช้ติดกันทุกวัน    และไม่จำเป็นต้องระบุวันที่จะใช้ล่วงหน้า

เพียงแค่ต้องอยู่ภายใน 14 วัน นับตั้งแต่วันแลกตั๋วเท่านั้น

  • ราคา ซื้อจากต่างประเทศ ผู้ใหญ่ 19,000 เยน /เด็ก 9,500 เยน
  • ซื้อในประเทศญี่ปุ่น ผู้ใหญ่ 20,000 เยน /เด็ก 10,000 เยน

ดูข้อมูล Pass เพิ่มเติมได้ที่ลิงค์นี้นะคะ  https://japanallpass.com/jr-east-pass-tohoku-area/

นุ้ยลงเครื่องที่สนามบินนาริตะ เทอร์มินอล 2 หลังจากรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว

ออกมาด้านนอกเลี้ยวขวา ลงบันได  เดินมาจนเจอตรงนี้นะคะ เพราะที่นี้คือจุดแลกตั๋ว

และเราจะได้มาแบบนี้  ซึ่งวิธีการใช้  จะเป็นการแสตมป์ วันที่ลงในบัตร (ไม่ใช่แบบการ์ดที่สอดเข้าไปในเครื่องนะคะ)

ยกตัวอย่างเช่น นุ้ยเริ่มใช้ตั้งแต่วันนี้เป็นวันแรก จะมีแสตมป์ วันที่ไว้ 1 ดวง นั่งได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว

ใช้อีกครั้งวันไหน เจ้าหน้าที่ก็จะแสตมป์วันที่ใหม่อีกครั้ง

ข้อดีของ Pass นี้ เราเริ่มใช้ได้ตั้งแต่ออกจากสนามบินเลยจ้า

ตอนแลกตั๋ว คุณป้าที่แลกให้นุ้ยก็ใจดีเนอะ  คุยกันสองสามคำ ป้าถามอะไรมา เราก็พยักหน้าอย่างเดียว

ปรากฏว่าป้าจองตั๋วรถ  N’EX หรือ Narita Express  เข้าโตเกียว  พร้อม  shinkansen  ไป Fukushima ให้เรียบร้อยจ้า

ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นดี  แต่คุณขา…. เมื่อดูเวลารีบวิ่งหน้าตั้งเลยจ้า

หน้ายังไม่ได้ล้าง น้ำยังไม่ได้อาบ ฟันยังไม่ได้แปรง พึ่งตื่นลงมาจากเครื่อง  แต่เรื่องนั่นไม่สำคัญ … อีกต่อไป

บรรยากาศใน รถ  N’EX หรือ Narita Express

ซึ่งการเดินทางไป Fukushima  เราจะต้องนั่งรถไฟเข้าโตเกียว โดยไปเปลี่ยนเป็นรถไฟ Shinkansen ที่ Tokyo Station

สามารถนั่งรถไฟ Shinkansen ได้ 3 สาย คือ

* Yamagata Shinkansen

* Tohoku Shinkansen

* Hokuriku-Shinkansen

**จากสนามบินถึง  Tokyo station ใช้เวลาประมาณ 1.10 ชม

*** จากTokyo Station ถึง Fukushima Station ใช้เวลา 1.50 ชม.

———————

ข้อมูลก่อนเที่ยวแน่นแล้ว … ได้เวลาออกเที่ยวกันแบบจริงๆ แล้ว

หลังจากขึ้น shinkansen มา นุ้ยกับต้น หลับยาว หลับสนิทเลยค่ะ   เก็บแรงไว้เที่ยว

จนมาถึงสถานี Koriyama Station  เพื่อต่อรถไปเมือง Aizu  และที่สถานีนี้ นี่แหละที่ทำให้เราได้ล้างหน้าล้างตา

หลังจากที่เช็คเวลารถไฟไป Aizu เรียบร้อยว่า ออกกี่โมง

และมีเวลาทานพอสำหรับกินข้าว  (มื้อแรกของวัน)  เราก็เดินวนหาร้านที่ถูกใจ และต้องรวดเร็วทันเวลา

ถ้าพลาดรถรอบนี้ไป อาจจะต้องรออีกหนึ่งชั่วโมงมาเจอโซนนี้อยู่ที่ชั้น 1 คล้ายๆ  food court เพราะมีหลายร้านมาก

ในที่สุดนุ้ยก็ได้ ราเมงมา 1 ชาม พร้อมกับข้าวหน้าเนื้ออีก 1 ชาม

ราเมงอร่อยมาก น้ำซุปจัดว่าเด็ด เกี๊ยวรสชาติเหมือนเกี๊ยวซ่า หมูก็นุ่ม ๆ

ส่วนข้าวหน้าเนื้อ นุ้ยอาจจะไม่ค่อยคุ้นกับเนื้อที่ค่อนข้างสด   (หรือรีบจนลืมดู)

กินอิ่ม ก็รีบไปขึ้นรถกันเลย  รถไฟที่เราจจะนั่งไป Aizu เป็นรถไฟ  JR สายสีน้ำตาล ( Ban-Etsusai Line)

ไปลงสถานี Aizu-Wakamatsu Station  ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.

มาถึง Aizu ปุ๊บ  รีบเข้าที่พักกันก่อนเลย เก็บข้าวของ และได้อาบน้ำสักที

ที่พักของนุ้ยชื่อ Aizu-Wakamatsu Washington Hotel

เพื่อน ๆเข้าไปเช็คราคากันได้ที่แอพนี่เลย

Android – http://bit.ly/2wAkFRd

IOS – http://bit.ly/2vEybWH

.

.

ตึกนี้เลยคะ ที่พักของนุ้ย ทริปนี้นุ้ยไม่ได้เลือกนอนแบบเรียวกังเลย

แต่เน้นเลือกที่พักที่ค่อนข้างสะดวกสบายราคาไม่แรง และใกล้สถานี

บริเวณล็อบบี้

ห้องพักสะอาด มีข้าวของเครื่องใช้ครบ และมีอาหารเช้าด้วย

ส่วนวิวจากในห้องถ้ามองออกไปตรงๆ จะเป็นวิวเมือง  แต่ถ้ามองออกไปเฉียงๆ จะเป็นทิวเขาเขียวชะอุ่มเลย

.

กว่าจะเคลียร์ตัวเองเสร็จ ก็เกือบเย็นแล้ว   แต่ก็ไม่พลาดที่จะออกไปเที่ยวข้างนอก

ซึ่งปลายทางที่เราไปกันวันนี้ เป็นเส้นทางท่องเที่ยว ในเมือง Aizu เป็นการนั่ง loop bus ได้รอบเมืองเลยค่ะ

ค่าโดยสารอยู่ที่ 210 เยน ต่อ 1 จุดที่เราลง   และวันนี้เราจะเที่ยวเท่าที่พอมีเวลาแล้วกันเนอะ

จุดขึ้น Loop bus อยู่หน้าสถานีรถไฟ Aizu-Wakamatsu Station  สถานีเดียวกับที่เรามาถึงเลย

ขึ้นรถได้ที่ป้ายที่ 6 จะมีรถ 2 สี คือเขียวและแดง เพื่อนๆ จะนั่งสายไหนก็ได้ แต่อาจจะวางแผนตามจุดที่เราอยากไป

ป้ายรถตามรูปเลย

วันนี้มีนักท่องเที่ยวเยอะเลยทีเดียว ทั้งวัยรุ่นทั้งสูงวัย

ทุกคนมีแผนที่ตารางรถ และสถานีที่ท่องเที่ยว ติดตัวด้วย

จุดแรกของเรา พิพิธภัณฑ์บ้านซามูไรไอซุ (Aizu Bukeyashiki)

เป็นบ้านของอดีตซามูไร ไซโก ทะโนะโมะ (Saigo Tanomo) ในสมัยเอโดะ

มีค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 850 เยน เด็กมัธยม 550 เยน เด็กประถม 450 เยน

เวลาทำการ

เดือนเมษายน-พฤศจิกายน 8.30-17.00 น.

เดือนธันวาคม-มีนาคม 9.00-16.30 น.

บรรยากาศด้านในก็ญี่ปุ่นๆ

คิดถึง อิคิวซัง ตอนไปหาท่านโชกุนเนอะ

มุมนี้ทำนุ้ยสะดุ้ง พอดูอีกที 

อ้าว ! หุ่นนี่นา  เหมือนจริงมาก 

มีทั้งรูปปั้น และเสื้อผ้าของซามูไร

ตอนเราเดิน เราก็ไม่ได้อินกับประวัติศาสตร์เนอะ เพราะเราไม่ค่อยรู้เรื่องราวมากนัก

แต่เราชอบความสวย ของที่นี้ และเราชอบบรรยากาศที่เราเห็นคนญีปุ่นมาเที่ยว

แล้วเขาซึบซับ และให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้มาก

หลังจากใช้เวลาอยู่ในบ้านซามูไรนานมาก ออกมาอีกที ใกล้ถึงเวลาที่สถานีที่อื่นๆจะปิด

วันนี้ เราคงได้เพิ่มอีกแค่ที่เดียว ก็เลยไปที่นี้กัน Oyakuen Garden สวนโอยะคุเอ็น ( Loop bus ผ่านเฉพาะสีเขียวนะ)

Oyakuen Garden สวนโอยะคุเอ็น เป็นสวนสมุนไพร

เข้าไป เราจะได้เจอต้นไม้นานาพันธุ์ ดอกไม้ก็เยอะ มีบึงน้ำขนาดใหญ่อยู่กลางสวน

ใครที่ชอบแนวต้นไม้ดอกไม้ มาเดินเล่นชิลล์ได้เลย

ค่าเข้าชม: 320 เยน

เวลาเปิด-ปิด: 8:30-17:00(เข้าชมก่อน 16:30)

วันปิดทำการ: เปิดทุกวัน

 บรรยากาศก็ประมาณนี้ 

วันที่ 3..  หมู่บ้านโบราณ กลางหุบเขา

.

เช้าวันนี้เป็นวันที่เราตื่นสายกันพอสมควร  ประมาณ 7.30 น.

แต่ถ้าเทียบกับเมืองไทย ก็ถือว่าเช้ามากเพราะที่นี่เร็วกว่าไทยถึง 2 ชม.

เราใช้เวลาอ้อยอิ่งอยู่นานพอตัว . . วันนี้เราตั้งใจกันไว้ว่าจะไปหมู่บ้านโบราณโออุจิจุคุ Ouchijuku

การเดินเริ่มจากสถานี Aizu-wakamatsu นั่งรถไฟสาย Aizu ไปสถานีปลายทาง Yunokami Onsen ใช้เวลาประมาณ 40 นาที

ตลอดระยะทาง  … เราตื่นเต้นเหมือนเด็กน้อยพึ่งออกเที่ยว  เพราะวิวที่มองออกไปผ่านหน้าต่างรถไฟมันสวยเหลือเกิน

ทุ่งนาที่กำลังเหลืองอร่าม ฉากหลังคือ ภูเขาที่มีหมองบางๆ จางๆ ลอยผ่าน

บ้างก็เป็นสะพาน ธารน้ำไหล  สวยกว่าที่เราเคยเห็นจากที่อื่นๆ

40 นาที ไม่ใช่เวลาน้อยๆ  แต่ทำไมเราถึงรู้สึกว่ามันเร็วนัก

เรามาถึงสถานี Yunokami Onsen แล้ว สถานีแห่งนี้แทบจะเป็นสถานีรถไฟแห่งเดียว

ที่ยังมีทรงหลังคาโบราณแบบนี้ …  สำหรับเราสองคนแล้ว มันสวยมาก  มันมีเสน่ห์แบบไม่ต้องแต่ง

ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวก็อร่อยแบบไม่ต้องปรุง  // เกี่ยวกันตรงไหนเนี๊ยะ

แต่เราแทบจะไม่ได้มีเวลาซึบซับกับสถานี

เพราะเมื่อไปถึงสถานี Yunokami Onsen  จะมีรถ คันนี้จอดรออยู่ เพื่อไปส่งเราที่หมู่บ้านโบราณโออุจิจุคุ Ouchijuku

ค่าโดยสารรถบัส ไป-กลับ คนละ 1,000 เยน

ระหว่างทางนั่งรถบัสก็จะเขียวๆ ชุ่มฉ่ำๆ หน่อย นั่งขึ้นไปบนเขา

จะว่าไปหมู่บ้านนี้ก็เปรียบเสมือนหมู่บ้านโบราณกลางหุบเขา  

นั่งรถบัสไม่นานนักก็มาถึงแล้วค่ะ 

เขาว่ากันว่า หมู่บ้านนี้มีอายุหลายร้อยปีก่อนสมัยเอโดะ  แต่เราสองคนไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์มากนัก

แค่พอรู้คร่าวๆ  แต่สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับหมู่บ้านแห่งนี้คือลักษณะบ้านเรือนที่เป็นทรงโบราณ เรียงราย สองฝั่งถนนเล็ก

โอบล้อมด้วยภูเขา  ในฤดูกาลนี้ ก็จะชุ่มฉ่ำหน่อยๆ

แต่วันนี้ชุ่มฉ่ำมากเป็นพิเศษ  เพราะมีฝนโปรยปรายลงมา

และแม้ว่าฝนจะตก และเป็นช่วงกลางสัปดาห์ แต่กลับมีนักท่องเที่ยวมากมาย

ของชิ้นเล็กชิ้นน้อย น่ารักชะมัด  ทำเราเพลินเพลิน เดินเล่นไปเรื่อยๆ แบบลืมเวลา

.

.

.

.

.

ดังโงะย่างร้อนๆ ราดซอสเค็มนิดๆ ตอนฝนตกๆ ก็ฟินดีนะ

.

.

สำหรับหมู่บ้านนี้ไม่ต้องใช้ตู้เย็นแช่น้ำค่ะ  เพราะธารน้ำที่ไหนผ่านกลางหมู่บ้าน

คือตู้เย็นชั้นดีที่ร้านรวงต่างๆ เอาเครื่องดื่มมาแช่ไว้

นุ้ยลองเอามือจุ่มลงในน้ำ มีสะดุ้งนิดๆ …

.

แนะนำให้เพื่อนๆ เดินไปจนสุดทาง แล้วเดินขึ้นเนินเขาไปสักนิด

จะทำให้เราเห็นภาพหมู่บ้านแบบเต็มๆ ตา

นุ้ยกับต้น เคยเห็นในช่วงที่มีหิมะ มันสวยมากๆ เลยนะ

ก่อนกลับ กลัวหิว แวะทานโซบะต้นหอม ชามใหญ่มากชามละ 950 เยน

โซบะต้นหอมจริงๆ ไม่มีเนื้อใดๆ ทั้งสิ้น ไฮไลท์อยู่ที่ต้นหอมยักษ์ที่เสิร์ฟมานี่แหละ

และใช้เป็นอุปรกรณ์ในการตักเส้นโซะทาน

ทานเสร็จ ก็ห้ามคุยกับใคร เพราะเรากินต้นหอมเข้าไปด้วย น้ำซุปหอม อร่อยเลย

ปิดท้ายด้วยไอศกรีมองุ่น 350 เยน กับอากาศประมาณ 25 องศา นี่มันอร่อยจริงๆ กลิ่นหอมมาก

ฟินแล้วกลับบ้านได้  เพราะเมื่อเรารู้สึกตัวอีกที บ่ายแก่ๆ แล้วนี่นา

รีบลงไปรอรถกลับกันดีกว่า  ตอนกลับเราไปรอรถจุดเดิมที่เราลงรถตอนขามานะคะ

ไม่ต้องจ่ายค่ารถ เพราะได้จ่ายไว้แล้วในตอนแรก 1,000 เยน รวมไปกลับ

เมื่อกลับมาถึงสถานีที่ YUNOKAMI ONSEN STATION เพื่อรอรถไฟกลับไปยัง สถานี AIZU-WAKAMATSU

จะกลับไปเฉยๆ ไม่ได้นะ

รู้หรือเปล่าว่าที่ YUNOKAMI ONSEN STATION มีออนเซนให้แช่เท้าฟรีด้วย

อากาศหนาวหน่อยๆ แบบนี้เจอออนเซนร้อนๆ ฟินเลย

แต่… ร้องจ๊ากเลย มันร้อนมาก เอาเท้าจุ่มลงไปแบบลืมตัว

แต่เมื่อปรับสภาพอุณหภูมิได้แล้วก สบายเลย

สักประมาณ 10 นาที กำลังดี

แต่เพื่อนๆ คำนวณเวลาให้ดีนะคะ เพราะรถไฟ จะมีแค่ชั่วโมงละ 1 รอบ

จะได้ไม่เสียเวลานั่งรอ พลาดไปนี่แย่เลย

หลังจากแช่เท้าเสร็จ ก็มานั่งรอประมาณ 10 นาที

บรรยากาศในสถานีรถไฟก็ประมาณนี้ ผู้คนมีเพียงไม่กี่คน

ลักษณะคล้ายๆ ร้านของชำ มีขนม เครื่องดื่ม ผลไม้ขายด้วยค่ะ

.

เมื่อกลับมาถึง AIZU-WAKAMATSU

คำนวณเวลาดูแล้ว ยังพอมีเหลือ ให้ไปตามสถานีที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้

ก็เลยคุยกันว่าออกไปนั่งรถ loop bus เที่ยวกันต่อดีกว่า

.

.

สถานีแรกที่เราไป เป็น Tsuruga Castle  นั่งรถบัส Aizu Loop Bus

ไปลงที่ Tsurugajo Kitaguchi bus stop (ป้ายเบอร์ H 14) แล้วเดินต่ออีก 5 นาที

ค่าเข้าชม: 410 เยน หรือ 510 เยน (สามารถเข้าชมโรงชารินคาคุได้ด้วย)

เวลาเปิด-ปิด: 8:30-17:00(เข้าชมก่อน 16:30)

ปราสาทแห่งนี้เดิมมีชื่อว่า ปราสาทคุโระคะวะ (Kurokawa Castle) ถูกสร้างขึ้นในปี 1384

และถูกทำลายลงหลังจากเกิดสงครามโบชิน(Boshin war) ปี 1868

ต่อมาปราสาทได้ถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ด้วยคอนกรีตในปี 1960 เสร็จสมบูรณ์ในปี 2011

วันนี้มีคณะเด็กน้อยมาทัศนะศึกษากันด้วย

จากการสังเกตุ เด็กญีปุ่นค่อนข้างมีความกล้า ไม่กลัวชาวต่างชาติแบบเรา

เขาจะพยายามมองและชวนเราคุย   คุยกันรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง

แต่เราชอบที่พวกเขามีความพยายาม  พยายามคิดคำถามภาษาอังกฤษมาถามเรา

เหมือนได้เพื่อนใหม่ในวัยเด็กไปอีกเนอะ … แต่ไม่เข้าใจ พี่หน้าเหมือนคนจีนตรงไหน

ถามอยู่ได้ คนจีนใช่มั้ย  พอบอกไม่ใช่ ก็ไต้หวัน  หน้าพี่เหมือนแขกนะเด็กหยุ่น

ในบริเวณติดกันมีโรงน้ำชา ชื่อว่า โรงน้ำชารินคาคุ (Rinkaku Teahouse)

มีลักษณะเป็นสวนหย่อมเล็กๆ ให้เราเข้าไปเยี่ยมชมได้ รวมทั้งจิบชาได้ด้วย

แต่ก็จะมีค่าใช้จ่าย คนละ 200 เยน สำหรับการเข้าไปชมด้านใน

แต่ถ้าหากเราซื้อตั๋วเขาปราสาทในราคา 510 เยน ก็จะสามารถเข้าในโรงชาฟรี

แต่ถ้าหากต้องการจิบชาแล้วละก็  ต้องจ่ายเพิ่ม 600 เยน

แล้วเราจะพลาได้ไงละ

ขนมเป็นขนมชิ้นเล็กๆ สีชมพู หอม นุ่ม ละมุมนมาก

ส่วนชาเขียว คือชาเขียวจริงๆ เข้มข้นมาก ไม่ปรุงแต่ง

ซึ่งเราจะไม่มีทางได้กินชาเขียวแบบนี้ในไทย

ตอนเราจิบชา  คือเราก็จิบแบบเราเองเนอะ เอร็ดอร่อย  จนโดนต้นดุ

ต้นบอกว่า ช่วยชำเลืองสายตามองสาวญี่ปุ่นข้างๆ หน่อย

แตกต่างกับเราโดยสิ้นเชิง … เพราะเธอช่างละเมียดละไมกับขนม และชา

ประมาณดื่มด่ำกับสิ่งที่ดีที่สุดอยู่

เราก็เลย เริ่มเข้าใจ … วิถีจิบชาแบบสาวญี่ปุ่น

หลังจากนั้นก็ไปเดินรอบๆ ขึ้นไปเที่ยวบนปราสาท ซึ่่งด้านในห้ามถ่ายรูปนะจ๊ะ

.

.

.

.ยังพอมีเวลาที่จะให้เราเที่ยวต่อได้อีกสักหนึ่งสถานที่

เราเลือกไป  Suehiro Sake Brewery เป็นโรงกลั่นสาเก

นั่ง loop bus ไปลงป้าย H 8 เดินต่ออีกประมาณ 100 เมตร ก็ถึงแล้วละ

ค่าเข้าชม: ฟรี     เปิดทุกวัน เวลา  9:00-17:00

เมื่อเข้ามาด้านในก็จะเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์เลยนะ

มีทั้งประวัติ โน่นนี่นั่น  เป็นโรงกลั่นที่ใหญ่ และมีชื่อเสียงมาก สืบทอดกันมาหลายรุ่น

และเขาว่ากันว่า สาเกของที่นี่ ได้รับรางวัลชนะเลิศทั้งในและต่างประเทศด้วยนะ

ข้อมูลเพียงแค่นี้ ก็ทำให้นายต้น ตัดสินใจไปแบบไม่ลังเลเลยคะ

บรรยากาศด้านในก็จะประมาณนี้  ยังแอบเสียดายที่นุ้ยไปในช่วงเย็น ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีก็จะปิด

ทำให้เราพลาดโอกาสในการชมขั้นตอนการผลิตไป

แต่ยังเราได้ลองชิมสาเก  ซึ่งเป็นร้านขายสาเกของโรงกลั่นนี่แหละ

มีหลายชนิดหลายราคามาก  ต้นลองชิมไป 2 แบบ

และตัดสินใจซื้อกลับมาสานต่อที่โรงแรมอีก 2 ขวด

เสร็จแล้วกลับไปเมาต่อที่โรงแรม หลับยาว ยันเช้าได้เลย

.

.

วันที่ 4 .. บึงน้ำ 5 สี กับข้อมูลน้อยนิดที่เรามีก่อนไป 

.

วันนี้เป็นวันที่เราจะต้องออกเดินทางจากเมือง Aizu ไปยังตัวเมืองของ Fukushima แล้วสินะ

ทำไมเวลามันผ่านไปเร็วแบบนี้ละ  ยังเที่ยวไม่ครบเลย

วันนี้จึงเป็นวันที่เราตื่นเช้ามาก ..แทบจะไม่มีเวลาอ้อยอิ่งเลย

แต่เราก็เที่ยวเพิ่มได้แค่ที่เดียว  เพราะต้องรีบกลับมาเช็คเอ้าที่โรงแรมด้วย

เราจึงเลือกไป  Higashiyama Onsen ฮิกาชิยาม่าออนเซน

จริงๆ แล้วนุ้ยอยากมานอนที่หมู่บ้านนี้มาก เพราะมีที่พักเรียวกังให้บริการเยอะเลย

และได้แช่ออนเซ็นด้วย แต่การจองที่พักแบบกระชั้นชิด  ทำให้นุ้ยต้องตัดสินใจเลือกที่พักใกล้สถานีรถไฟ

การเดินทางไป   Higashiyama Onsen  สามานั่งรถ loop bus ไปได้เช่นกัน

นุ้ยตั้งใจหนักมากว่าต้องได้แช่ออนเซ็นที่  “Harataki”  เพราะค่าบริการเพียงแค่คนละ 1000 yen

จะมีผ้าเช็ดตัวผืนเล็กและใหญ่ให้บริการ

แต่เวลาเราน้อยนิดมาก  เราจึงทำได้เพียงแค่เดินดูบรรยากาศในหมู่บ้าน

และนั่งแช่เท้าฟรีๆ กันที่จุดบริการ

.

.

.

.

.

.

.

ในหมู่บ้านจะมีธารน้ำตกไหล สวยมาก อากาศก็เย็นฉ่ำเลย

ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่นี่จะสวยมากๆ เรากล้าคนเฟิร์มเลย

.

ในที่สุดเราก็ต้องเก็บกระเป๋าออกจากบ้านเอเอฟ ..//

ไม่ใช่ …. เราแค่ต้องเก็บกระเป๋าเพื่อเดินทางต่อ

หลายคนอาจจะสงสัยว่า เราทำไมต้องรีบละ แช่ออนเซ็นต่ออีกสักชั่วโมง สองชั่วโมงไม่เป็นไหรหรอก

..

แต่ปลายทางที่เราจะไปก่อนเข้าเมือง Fukushima น่าสนใจกว่า

และที่สำคัญ ข้อมูลเราสองคนไม่แน่นด้วย

เราแค่รู้สึกว่าอยากไป และตัดสินใจไปแบบไม่ได้หาข้อมูลมาล่วงหน้า

สถานที่ ที่นุ้ยบอก คือ GOSHIKINUMA PONDS  บึงโกะชิกินุมะ หรือบึงน้ำ 5 สีนั่นเอง

ตอนนุ้ยหาข้อมูลก็พอมีข้อมูลให้เราเห็นอยู่บ้าง

แต่พอเสิร์ชจาก Google map ทำไมไม่มีมีข้อมูลรถโดยสารนะ

ความลังเลใจมันก็มี แต่ก็ยังอยากลุ้น  อยากไป

ซึ่งการเดินทางไป GOSHIKINUMA PONDS

เราสามารถนั่งรถบัส จากสถานี Inawashiro (JR Ban-etsu Saisen Line / Ban-etsu West Line)

ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ถึง Goshikinuma ที่ป้าย Goshikinuma-Iriguchi-eki

แน่นอนว่าสถานี   Inawashiro  อยู่กึ่งกลางระหว่าง Aizu-Wakamatsu Station  และ Koriyama Station

นุ้ยกับต้น ก็เลยตั้งใจว่า เรานั่งรถไปเรื่อยๆ เมื่อถึงสถานีแล้ว ดูมีความเป็นไปได้ตามข้อมูลที่หามา เราค่อยวิ่งลงจากรถไฟ

…แต่กว่าจะถึง Inawashiro Station  ก็ผ่านหลายสถานีมาก

ซึ่งแต่ละสถานี เล็กมาก บางสถานีมีเพียงแค่ศาลาเล็กๆ เท่านั้น

เราสองคนก็เริ่มไม่มั่นใจ จะเอาจริงเหรอ? เสียเวลาเปล่าๆ นะ

แต่เมื่อเริ่มได้ยินเสียงประกาศว่า สถานีต่อไปคือ Inawashiro Station

นุ้ยยืนถือกระเป๋าและสายตาจ้องมองไปยังสถานี  เมื่อรถจอด ก็ถอนหายใจยาวๆ

เห้ออออออ!  เป็นสถานีใหญ่ มีรถบัสจอดเต็มไปหมดเลย

แสดงว่าข้อมูลที่หามาไม่พลาด … รีบลากกระเป๋าใบใหญ่ ลงอย่างไม่รีรอ

และโชคที่ที่สถานีนี้เป็นสถานีใหญ่ มีล็อกเกอร์ฝากกระเป๋าด้วย  มีราคา 600 เยน และ 400 เยน

นุ้ยก็ได้ใช้บริการไป ทั้ง 2 ขนาดเพราะกระเป๋า 2 ใบ

.

.

ฝากกระเป๋าเสร็จ …ปัญหาต่อมาคือ รถบัสคันไหนละ จอดอยู่ประมาณ 6 คัน

นุ้ยกับต้นตัดสินใจไปถามเจ้าหน้าที่ ที่สถานี

เขาก็บอกเราว่าให้ไปถามที่ information ด้านนอก  แต่พอเดินออกมา …

ไหนละ …information  ยืนมองหน้าเกาหัวกันพักใหญ่ จนรถบัสเริ่มทยอยออกไปอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ไม่มีเหลือรถบัสสักคัน …. มองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ …อีกแล้วนะเรา

จนในที่สุด เราก็สุ่มเดินไปถาม แบบสุ่มๆ ว่านี่คือ information หรืเปล่า

เป็นตึกอิฐสีน้ำตาล  และปรากฎว่าใช้จริงๆ ด้วย  จนเราได้ตารางรถมา

พร้อมกับออกมาชี้จุดขึ้นรถให้เรา

……

นุ้ยขออธิบาย ตารางเวลานิดนึงนะ เผื่อเพื่อนๆ จะไปที่นี่

ภาษาญี่ปุ่นที่ทำไฮไลท์สีชมพูไว้ ชื่อแรก คือสถานีต้นทางคือ Inawashiro จุดที่เราขึ้นรถบัส

ตามด้วยเวลาที่รถออกจากสถานี  ซึ่งในตารางไฮไลท์จะอยู่ที่ 13.02  นั่นคือเวลาที่รถออก

และไฮไลท์ภาษาญี่ปุ่นด้านล่างคือ ชื่อป้ายที่เราจะลงรถบัส  และตามด้วยเวลาที่เราไปถึงป้ายนั้น

เพื่อนเอาไปดูตารางเวลาได้นะคะ ถ้าหากไม่เข้าใจส่วนไหนก็ทักนุ้ยมาได้เลย

พร้อมช่วยเหลือเต็มที่

และรถบัสที่เรารอก็มาจอด

ซึ่งนุ้ยจะอธิบายจุดจอดรถง่ายๆ เมื่อเรามาถึงสถานี Inawashiro

ให้เดินออกมาจากสถานี มองไปทางขวาจะเป็นรถแท็กซี่

มองไปทางซ้ยจะเป็นรถบัส ซึ่งจริงๆ จะมีจอดอยู่ประมาณ 6 คัน

แต่ให้เราเดินไปขึ้นคันที่ 1 ในล็อคแรก ใกล้กับรูปปั้น ตามรูปเลยค่ะ

ถ้าไม่มั่นใจ ส่งชื่อสถานีให้คนขับรถดูเลย  เพราะเมื่อถึงสถานี ปลายทาง เขาจะหันหน้ามามองเราพร้อมพยักหน้าเบาๆ

รถบัสจะมาส่งเราที่สถานีนี้ค่ะ

………..

เดินต่ออีกประมาณ 300 เมตรก็จะถึงเลยค่ะ

แต่แนะนำให้เดินทางซอยเล็กๆ นะคะ ใกล้กว่าเดินออกถนนใหญ่

..

และแล้วเราก็มาถึง  ทะเลสาบโกชิคินุมะ (Urabandai Goshiki-numa Ponds) จริงๆ ซักที

Goshikinuma เป็นจุดชมวิวที่ใหญ่ที่สุดของ Urabandai มีบึงอยู่ถึง 9 บึง

โดยแต่ละบึงก็จะมีสีของน้ำเฉพาะตัวเอง ซึ่งสีของน้ำที่เห็นจะเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศ ช่วงเวลา และปัจจัยอื่นๆ 

ความรู้สึกแรกตอนเห็นบึงน้ำ..ตาโตเหมือนไข่ห่านเลยจ้า

เพราะมันสวยมาก รีบวิ่งเข้าไปถ่ายรูปอย่างเร็ว สีน้ำเทอควอยซ์ เมื่อเจอแสงแดด

ทอแสงระยิบระยับเหนือผิวน้ำ เป็นภาพที่สวยมาก ๆ นี่ถ้าหากเป็นช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่นี่คงเหมือนดินแดนในเทพนิยาย 



มุมนี้คือมุมที่ คู่รัก ครอบครัว เพื่อนฝูงมายืนถ่ายรูปกันเยอะมาก

เราสามารถไปพายเล่นในบึงน้ำได้

ค่าเช่าเรือ ครึ่งชั่วโมง  700 เยน

…..

.

.

.

.

.

มาถึงที่นี้นุ้ยอยากให้ทุกคนได้ชิม ไอศกรีมรส Goshikinuma

สีเขียวอมฟ้านิด ๆ คล้ายกับสีน้ำในบึง

มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์มาก  อร่อยสุดๆ สายไอศกรีมห้ามพลาด

แม้การเดินทางของเราสองคนกว่าจะไปถึงที่นี้

มันจะดูมึนๆ งงๆ กับข้อมูลที่เราหาไปไม่แน่นมากนัก

แต่ไม่รู้สึกผิดหวังที่ไปที่นี้เลย สวย สงบ อากาศดี ….ชอบจัง

การเดินทางของวันนี้ยังไม่จบ เพราะเราจะต้องไปเมือง Fukushima

นั่งรถไฟ JR มาเปลี่ยนเป็น  shinkansen ที่ Koriyama Station

ระหว่างรอรถ  หาร้านอาหารนั่งทานกันก่อน เลือกทานร้านนี้อยู่ที่ชั้น 2 โซนฟู๊ด

อร่อยเลยทีเดียว

กินอิ่มก็ไปนั่งรอรถ นี่คือบรรยากาศที่ Koriyama Station

หลับไปหนึ่งตื่น ก็มาถึงที่ Fukushima Stationc แล้ว

คืนนี้เราพักกันที่ APA Hotel  อยู่ติดกับสถานีเลย สะดวกสุดๆ

ที่สำคัญในนุ้ยจองมาในราคาไม่ถึง 2,000 บาท

เช็คราคากันได้ที่ http://www.hotelscombined.co.th/Hotel/

ตอนออกจากสถานีให้เดินทางทางฝั่ง West exit  นะคะ

เย็นวันนี้ นุ้ยไม่น่าจะออกไปเที่ยวไหนแล้วเพราะตอนนี้ก็ห้าโมงกว่า ๆ

ซึ่งห้าโมงเย็น ของญี่ปุ่น ก็ใกล้มืดแล้ว   ไปสำรวจที่พัก และพักเอาแรงไว้สำหรับพรุ่งนี้กันดีกว่า

.

ล็อบบี้หรูหรามาก  .. ทันทีทีเดินเข้าไป ต้นหันมาทำด้วยน้ำเสียงดุดัน

นี่เธอจองที่พักคืนละเท่าไหร่ … ตอบไปเสียงอ่อยๆ ไม่ถึง 2 พันนะ

เช็คอินด้วยตัวเอง

ห้องพักของเรา อาจจะไม่ได้กว้างมากนัก แต่มีทุกอย่างครบครัน และมีห้องน้ำในตัว

และที่ชอบที่สุดคือมีออนเซ็นด้วย  นี่เป็นบ่อแบบโอเพ่น  แต่จะมีบ่อกลางขนาดใหญ่พอสมควร

แยกชายหญิง  แช่กันได้ฟินๆ หายเหนื่อยจากการเดินทางเลยหล่ะ

ชอบที่สุด คุ้มที่สุดเลย

.

วันที่ 5 .. Mount Azuma เกือบพลาดไปแล้ว 

.

ตามชื่อเรื่องเลยค่ะ … นุ้ยเกือบพลาดไปแล้ว

และพลาดมากถ้าไม่ได้ไป …. ทำไมนะเหรอ?

ถ้าหลายๆ คนที่ตามกัน ก็จะรู้ว่านุ้ยไม่ใช่สายป่าเขามากมาย

ธรรมชาติน่ะชอบ แต่ไม่ค่อยชอบความเหนื่อยและลำบาก

และการเที่ยวของนุ้ย คือทำแพลนเพียงคร่าวๆ แต่ทุกอย่างจะเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

ตามความรู้สึก และสภาพอากาศในขณะนั้น

.

และ Mount Azuma เนี๊ยะคือภูเขาไง คือเคยเอาชื่อไปเสิร์ชดูรูปแล้วไม่สวยไง โดยที่ไม่หาข้อมูล

ตัดเลยจ้า …ตัดมันออกจากทริปไปแบบเหตุผลโง่ๆ ไม่ชอบ ดูรูปแล้วไม่สวย

…แต่ก่อนเข้านอน นุ้ยกัับต้น ก็จะต้องนั่งคุยกันว่าพรุ่งนี้ เราจะไปไหนกันบ้าง ทำอะไรบ้าง

การเดินทางเริ่มจากไหนไปไหนก่อน  แต่จู่ๆ ก็คุยกันว่า

ลองหาข้อมูล Mount Azuma อีกสักรอบดิี ไปยากมั๊ย 

และเราก็ตัดสินใจไปแบบไม่มีเหตุผล

.

ตื่นเช้ามาก็พร้อมสำหรับการเดินทาง  เราไม่ได้รีบร้อนมากนัก เพราะตามข้อมูลบอกว่า

ในช่วงเดือน พฤษภาคม – กันยายน รถจะวิ่งเฉพาะเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์

และให้บริการทุกวันตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายน

โดยมีรถวันละ 2 รอบ คือ คือเวลา 10.00 น.  และ 13.00 น. จาก Fukushima Station

………

นี่คือจุดเริ่มต้น  เรารู้ว่าจะมีรถตอน 10.00 น. รอบแรก  เราก็ไม่ได้รีบร้อนมากนัก ตื่นก็ 7 โมงกว่า ๆ

อาบน้ำแต่งตัว กินข้าวแบบเรื่อยเปื่อย แต่ดูเหมือนทุกอย่างเป็นใจให้เรา

พร้อมออกจากห้องตั้งแต่ 9 โมงเจ้า ทั้งที่รถมี 10 โมง

ตั้งใจว่าออกไปเดินเล่น ถ่ายรูปเล่นกัน แต่ยังไงก็ต้องหาป้ายรถไว้ก่อน

พอเอาเข้าจริงคุณเอ้ย …. ป้ายรถอยู่ไหนว่ะเนี๊ยะ หายังไงก็หาไม่เจอ

คือก่อนที่เราจะถามคนอื่น เราก็ช่วยตัวเองให้ถึงที่สุดก่อนไง

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เราต้องถามแล้วหล่ะ หาต่อไปไม่ได้ เดี๋ยวไม่ทันรอบแรก

ได้คำตอบว่า .. ป้ายรถที่จะไป Mount Azuma อยู่ฝั่ง  East Exit

แต่เราเดินวนหาอยู่ ที่ฝั่ง West Exit

เอ้า ! แล้วจะรออะไร วิ่งให้เร็วเลยจ้า พอมาถึง West Exit   คืออึ้งมาก

เพราะฝั่งที่พักนุ้ยก็อยู่   West Exit  ฉะนั้น ฝั่ง  East คือสิ่งที่แปลกตา

มีป้ายรถบัส เยอะมาก วนหาเลยจ้าๆ  และมีคำนึงของคุณลุงที่เราไปถามตอนแรก

ที่เราจำได้คือ Eleven  มันต้องใช่แน่ๆ ป้ายที่ 11 และมันก็ใช้จริงๆ ด้วย

เพราะเรามาเจอกระเป๋าหมวก สำหรับการเดินป่า

ก็เลยสอบถามว่าขึ้นรถตรงนี้ใช่มั๊ย

รอแค่อึดใจเดียว รถก็มา แต่มาก่อนเวลาคือ 9.50 น. เราก็แอบงง เพราะปกติรถญี่ปุ่นจะตรงเวลามาก

จึงเดินไปดูที่ป้าย เฮ้ย 9.50 จริงด้วย ก็แอบงอนๆ กับข้อมูลที่เราหามาว่า 10.00 น. เพราะไม่งั้นเราตกรถเลยนะ

แต่ปรากฎว่า 10.00 น. ก็ตรงค่ะ   เพราะว่ารถคันนี้จะวกไปรับคนที่ป้ายรถบัส ฝั่ง West Exit ที่ป้ายเบอร์ 3  ตอน 10.00 น.เป๊ะ

เส้นทางที่เราจะไปกันวันนี้เรียกว่า Bandai Azuma Skyline เป็นเส้นทางที่สวยมากในฤดูใบไม้ผลิ

เพราะจะมีสีสัน สวยงามเต็มไปทั้งภูเขา และตลอดเส้นทางที่รถวิ่ง

โดเรานั่งรถจาก Fukushima ไปลงที่  Jododaira ใช้เวลา 1.40 ชั่วโมง หรือ 100 นาที

ค่าใช้จ่าย 1,810 เยน แต่ขากลับจะกลับอีกเส้น ใช้เวลา 75 นาที ค่ารถ 1,330 เยน

.

ผ่านไป 100 นาที

นี่คือจุดจอดรถ นั่นหมายความว่า เรามาถึงแล้ว

ตอนกลับ ลงรถตรงไหน ให้กลับมาขึ้นรถตรงนั้น

ขากลับรถมี 2 รอบ เวลา 12.45 น  และ 15.40 น.

บรรยากาศที่ Jododaira  จะคึกคักหน่อย ทั้งรถส่วนตัว รถโดยสาร บิ๊กไบค์ เพียบ

และอากาศดีมาก ลมพัดแบบเย็นสุดๆ

แหงนมองทางเดินขึ้นเขา

… แล้วก็รีบจ้ำเท้าเดินขึ้นไป

ด้วยอากาศที่เย็นสบาย ทำให้การเดินก็จะชิลล์ๆ ถ่ายรูปไปบ้าง หยุดไปบ้าง

ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ เดินขึ้นกันเยอะมากบางคนก็เตรียมพร้อม รองเท้า เสื้อผ้า เหมาะสำหรับการเดินเขา

แต่บางคนก็พร้อมสำหรับการถ่ายรูป ส้นสูงเลยจ้า  แอบทึ้งในความสามารถ

.

.

………น้องหมาก็เดินนะ …. น่าสงสาร

หอบแฮกๆ เลย

เย้ มาถึงแล้ว

ด้านบนนี้อากาศดีมาก สดชื่นมาก …และการได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง คือสวยมาก

ถ้าทำตามแพลนเดิมคือ … ตัดที่นี้ทิ้งไปจากโปรแกรม

คือพลาดมากจริงๆ

ภูเขาอาซูมะ(Mount Azuma) สูงประมาณ 2,000 เมตร

มีเส้นทางการเดินป่าปีนเขาต่างๆ เพื่อขึ้นไปสู่ยอดเขาชมภูมิทัศน์อันงดงามของภูเขาไฟ

ตอนนั่งรถมา มีคนลงระหว่างทางเยอะพอสมควร เพื่อเดินปีนเขาขึ้นไปตามจุดต่างๆ

เมื่อเรามองขึ้นไปถึงยอดเขา แล้วมองกลับลงมายังจุดจอดรถ

ถ้าหากเป็นไปได้ รอบหน้ามีโอกาสกลับมาที่นี้อีก นุ้ยตั้งใจเช่ารถขับเลยคะ

อยากจอดตามจุดต่างๆ ตลอดเส้นทางกว่าจะมาถึงจุดนี้ก็สวยเหลือเกิน

เขาลูกที่เราเห็นอยู่นี้ ยังคงมีความร้อนปะทุอยู่บ้าง ตลอดแนวถนนที่รถขับผ่านจะมีรั้วเหล็กกั้นไว้

ลูกนี้ก็ยังมีควันออกมาให้เห็นบางจุด

เมื่อใกล้ถึงเวลากลับ เราก็รีบ ลงมาด้านล่าง

นุ้ยเลือกกลับรอบแรก เพราะตั้งใจว่าจะแวะที่ ทาคายอุอนเซน(Takayu Onsen)

ซึ่งก็ยังแอบรู้สึกเสียดายมากๆ

มันทำให้นุ้ยมีเวลากับโซนนี้น้อย

เป็นเหมือนทางเดินสำรวจธรรมชาติ

ลักษณะคล้ายๆ กับสะพานไม้ ยกระดับเหนือพื้นขึ้นมาเล็กน้อย

ด้านล่างจะเป็นดอกไม้ดอกหญ้านานาพันธุ์

เอาเป็นว่า ถ้ามีโอกาสกลับมาอีกครั้ง  … สัญญาว่าจะมีเวลาให้ที่นี้เยอะกว่านี้ แน่นอน

ระหว่างทางกลับ

นุ้ยมาแวะที่ ทาคายอุอนเซน(Takayu Onsen)

ทาคายุออนเซน(Takayu Onsen) เป็นเมืองน้ำพุร้อนขนาดเล็กตั้งอยู่บนทางลาดชันของภูเขาอาซูมะ(Mount Azuma)

เริ่มมีการพัฒนาครั้งแรกประมาณ 400 ปีที่แล้ว ที่นี้มีที่พักแบบเรียวกังหลายแห่ง

น้ำพุร้อนของที่นี่มาจากแหล่งน้ำที่ต่างกัน 10 แห่งรอบๆเมือง

มีความเป็นกรดสูง อุดมไปด้วยไฮโดเจนซัลไฟด์จึงทำให้น้ำมีสีขุ่นเหมือนน้ำนมจางๆ สีฟ้า

เรียวกังหลายที่เปิดให้บริการห้องอาบน้ำแก่แขกที่ไม่ได้เข้าพักด้วยเช่นกัน แต่รอบนี้นุ้ยใช้บริการห้องอาบน้ำสาธารณะ

ห้องอาบน้ำสาธารณะอัตตะกะโนยุ(Attaka no Yu Public Bath)

ค่าใช้จ่าย: 250 เยน    เวลาเปิด-ปิด: 9:00-21:00(เข้าใช้บริการก่อน 20:00)

ถ้าหากเรามาจาก Fukushima Station เลยก็ได้นะ ขึ้นรถบัส West Exit จะมีให้บริการวันละหลายรอบ

ค่ารถ 820 เยน

ค่าบริการ 250 เยน โดยเราต้องกดจากตู้ นี้นะคะ แล้วนำตั๋วไปให้เจ้าหน้า ที่เคาร์เตอร์

เสร็จแล้วก็มานั่งรอรถได้ตามสบาย

นุ้ยไม่มีรูปในห้องอาบน้ำมาให้ดู  เพราะอย่างที่รู้กันคือ

ออนเซ็นของที่นี่ จะต้องถอดเสื้อผ้าทั้งหมด และเราจะไม่สามารถ่ายรูปได้

คนที่มาใช้บริการ มีจำนวนเยอะมาก อาจจะเพราะนุ้ยไปตรงกับวันหยุดสุปสัปดาห์เนอะ

ทั้งวัยรุ่นหนุ่มสาว และสูงวัย    ตอนแรกก็จะเขินๆ หน่อย ๆ

แต่ผ่านไปสักแปบเดียวเราก็จะชิน  เพราะไม่มีใครสนใจเรา

อยากรู้เป็นยังไง ต้องลอง

ตอนกลับเดินมาขึ้นรถฝั่งตรงกันข้ามได้เลย

วันนี้ได้มาแบบ 2 อารมณ์ที่แตกต่างกันมาก

ขึ้นเขาที่สวยอากาศดี  และแช่ออนเซ็นแบบฟินสุดๆ

ไม่ว่าจะไปที่ไหนมา เราก็จะหอบท้องกลับมากินใกล้ที่พักตลอด

วันนี้เลือกกินร้านนี้ค่ะ ตั้งอยู่ใน Fukushima Satation นี่แหละ

แอบเล็งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนก่อน  เพราะลูกค้ามุงกันหน้าร้านเต็มเลย

บรรยากาศก็จะประมาณนี้  ร้านนี้เน้นขายเมนูทอด

นุ้ยสั่งเซ็ตนี้เป็นเซ็ตโปรโมชั่น

มีเนื้อ 3 ประเภท กุ้ง ปลา และอีกอันนุ้ยแยกไม่ออกจริงๆ ว่าคืออะไร

แต่อร่อย เกลี้ยงภายในพริบตา

บดงาทำน้ำจิ้มก่อนแปบนึง

กับเมนูนี้หมูอะไรสักอย่าง แต่ก็อร่อยดีนะ

และปิดท้ายวันนี้ด้วยเมนู sashimi จากซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ที่พัก

จริงๆ นุ้ยไปซื้อเกือบทุกวันเลยนะ ตอนแรกเข้าไป เพื่อไปเดินเล่น เพราะมันค่ำแล้ว

จะไปเที่ยวไหนก็ไม่ได้  ซุปเปอร์นี่แหละ แต่ทำเอาตื่นตาตื่นใจ

เพราะมีแต่ของน่ากิน และลดราคาหนักมาก  เซ็ตนี้ประมาณ 800 เยน คือ 200 กว่าๆ ไทยเองอ่า

กินอิ่มนอนหลับ  พรุ่งนี้เจอกันใหม่นะ Fukushima

วันที่ 6.. องุ่นสดๆ จากสวน อร่อยแบบนี้นี่เอง 

ฟุกุชิมะ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งผลไม้เลยนะ ในแต่ละฤดูกาลจะมีผลไม้ออกมาให้ชิมต่างกัน

ไม่ว่าจะเป็นแอปเปิ้ล สาลี่ พีช องุ่น

และเราก็ตั้งใจมาหนักมากว่าต้องได้กิน    เช้าวันนี้จึงออกเดินทางกันตอนสายๆ

สวนที่เราเล็งไว้คือ  maruyoshikanko  หรือเพื่อนๆ จะไปสวนอื่นก็ได้นะ

เพราะจะมีถนนอยู่เส้นหนึ่งที่มีเป็นถนนสายผลไม้ มีสวนผลไม้เยอะมาก

การเดินทาง เราเดินทางด้วย รถไฟ Local

ไปขึ้นที่ฝั่ง West ออกมายืนด้านหน้าแล้วเลี้ยวซ้าย เดินตรงไปเรื่อย จนถึงตรงนี้

และนี่คือทางเข้าไปขึ้นรถไฟนะคะ

นั่งรถไฟลงสถานี Ioji-Mae Station

ค่ารถไฟคนละ 330 เยน ต่อรอบนะคะ

รถไฟน่ารัก ฟรุ้งฟริ้งเชียว

เป็นลายซากุระด้วย นุ้ยก็เลยลองนั่งสังเกตุไปตลอดทาง

และเชื่อได้เลยว่า ช่วงซากุระ นั่งรถไฟสายนี้สวยแน่นอน

เมื่อมาถึงสถานีปลายทาง เปิด GPS โลด นุ้ยเลือกที่จะเดินต่อ เพราะใช้เวลาเดินแค่ประมาณ 10 นาที

นุ้ยชอบเดินดูบ้าน ดูเมือง มันแปลกตาไม่เหมือนบ้านเรา อีกอย่างอากาศก็ไม่ร้อน เย็นสบาย เดินตัวปลิวเลย

..

เบอร์ติดต่อ : 024-542-0914, พิกัด :https://goo.gl/maps/PX6Fh7gpg3G2

………………..

แปบเดียวก็ถึงแล้ว

นุ้ยรีบเข้าไปติดต่อด้านใน ..เจอคุณน้าผู้หญิงสองคน เป็นคนดูแล

และความสนุกก็เริ่มขึ้น …เมื่อคุณน้าไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ

การพูดคุยจึงเป็น ไทย กับ ญีปุ่น และเข้าใจกันด้วยภาษามือค่ะ

สรุปว่า วันนี้เปิดให้เข้าชิมได้เฉพาะสวนองุ่น ผลไม้อย่างอื่นยังชิมไม่ได้

ค่าเข้าสวนองุ่น  คนละ 864 เยน  ปกติ 30 นาที

แต่คุณน้าบอกเราว่ากินได้จนกว่าจะอิ่ม พร้อมขีดเวลา 30 นาทีออกให้เราด้วย

อาจจะเพราะวันนี้คนน้อย และเราตัวเล็กไง คุณน้าคงคิดว่าเรากินไม่เยอะ

เราจะได้อุปกรณ์เป็นผ้า ถาด และกรรไกรตัด เลือกที่นั่งได้ตามสบาย

ตอนตัดคุณน้าก็สอนว่าให้สังเกตุห่อที่มีจุดสีแดงนะ

พร้อมแล้วก็ลุย

มันก็จะหวานๆ หน่อย แต่หอมมาก และฉ่ำมาก

ติดกันก็มีสวนแอปเปิ้ล แต่คุณน้าบอกว่ายังเข้าไม่ได้ เพราะยังสุกไม่เต็มที่

แต่เราก็ขอเข้าไปถ่ายรูป ข้างๆ สวน

เก่งมั๊๊ยไม่ละ พูดกันคนละภาษา แต่ดันเข้าใจกันซะงั้น

กินอิ่มแล้ว ถ่ายรูปกันสนุกแล้ว ก็ได้เวลากลับ

กลับมาถึงที่สถานี Fukushima

เราไปกันต่อที่  Iwaya Kannon  นุ้ยรู้แค่ว่าที่นี้เป็นหน้าผาแกะสลัก

การเดินทาง : นั่งรถบัสสายใดก็ได้จาก จาก East Exit Bus Stop No. 2

ลงป้าย Iwayashita (ใช้เวลา 25 นาที) ราคา 270 เยน

เราสามารถเข้าดูได้ฟรี ไม่มีค่าบริการใดๆ

บันไดดูสูง แต่แปลกที่ตอนเดินไม่รู้สึกเหนื่อย

บรรยากาศก็ประมาณนี้

และสุดท้ายสำหรับเย็นวันนี้ ตอนแรกก็วางแผนจะไปโน่นนี่นั่น

แต่กลัวเวลาจะน้อย แล้วต้องรีบ จนไม่ได้ซึบซับอะไรเลย

นุ้ยเลยเลือกวิธีการเดิน เดินไปเรื่อยๆ เมื่อกางแผนที่ดูจะมีสะพาน และแม่น้ำ

ก็เลยตั้งปลายทางไว้ตรงนั่น และเดินไปเรื่อย ๆ

แล้วเราก็ได้เจอภาพแบบนี้   ชีวิตของชาวเมืองฟุคุชิมะ

ชีวิตแบบเรียบง่าย ในตอนเย็นๆ ชีวิตที่ไม่เร่งรีบ

ซึ่งถ้าลองคิดเล่นๆ เวลาเดียวกันนี้ที่โตเกียว  คงจะวุ่นวายน่าดู เร่งรีบน่าดูเลยเนอะ

ถนนเส้นเงียบๆ เส้นหนึ่ง ที่ถูกปิดในช่วงเย็นไม่ให้รถวิ่งผ่าน

เป็น ถนนที่ทำให้เราได้ถ่ายรูปเล่นอย่างเพลินเพลิน

จนในที่สุดเราเดินมาถึงสะพาน ในตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน

บางครั้ง เราลองไปในที่ที่ไม่เคยไป  ไปในที่ ที่ไม่เคยมีใครบอกไว้ว่าดีหรือไม่ดี

ไปในที่เราไม่คาดหวังอะไร …. เรามักจะได้ความรู้สึกดีๆ กลับมา

พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่เราเดินทางกลับแล้วสินะ

เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะกิน กิน และกิน

กินร้านเกี๊ยวซ่าที่เขาว่ากันว่ารอคิวนานมาก

ร้านนี้ชื่อว่า Gyoza Terui Fukushima Station East Exit

ร้านนี้ตั้งอยู่ที่  Fukushima station  (east Exit ) ใกล้ๆ กับ โรงแรม Hotel Mets Fukushima

เวลาเปิด-ปิด :  17:00-23:00 น.

หน้าร้านสัญลักษณ์เด่นมากเห็นปุ๊บรู้ปั๊บ

ตอนแรกนุ้ยคิดว่าเขาเอารูปกงจักรมาเป็นสัญลักษณ์ร้านทำไม

แต่พอดูอีกที อ้าว มันรูปเกี๊ยวซ่านี่นา

แต่วันนี้นุ้ยรอคิวไม่นานมาก เกือบๆ 20 นาที ซึ่งเป็นร้านเดียวในย่านนี้ที่ต้องรอคิว

เพราะนุ้ยอยู่มา คืนนี้คืนที่ 3  ออกมาเดินเล่นทุกคืน

แต่ส่วนใหญ่นุ้ยจะเน้นกินอาหารในซุปเปอร์ แอบงกไงมันถูกดี และอร่อยด้วย

แต่เห็นร้านนี้ร้านเดียวที่คิวยาว ล้นมาหน้าร้าน ก็เลยต้องลองซักหน่อย

เมื่อเรามาถึงหน้าร้านแล้วมีคิว ให้เดินไปหยิบกระดาษหน้าร้านมาเขียนชื่อและจำนวนคนได้เลย

พนักงานจะออกมาเรียกเรื่อยๆ ตามลำดับ

และนี่คือเมนู ภาษาญี่ปุ่นหมดเลยจ้า

แต่ก็ยังมีรูปเล็กๆ ให้เราดู รูปใหญ่สุดก็เกี๊ยวซ่านี่แหละ

ไม่พลาดที่จะสั่ง มี 2 ราคา คือ

จานเล็ก มี 11 ชิ้น ราคา 650 เยน

และจานใหญ่ มาแบบเต็มๆ มี 22 ชิ้น ราคา 1,300 เยน

ความพิเศษคือความกรอบของแป้งเกี๊ยวซ่า ไส้อร่อย น้ำจิ้มอร่อย ลงตัวมาก

อย่างที่สองที่สั่งมาคือราเมง  ชามใหญ่มาก แทบจะใหญ่กว่าหน้านุ้ยอีก

น้ำซุปอร่อย กลิ่นหอมมาก  ไข่มะตูมเข้ากั๊น เข้ากัน

แต่เนื้อเบคอนที่ใส่มาคือดีมาก หอม นุ่ม ละลายในปาก ชอบสุดๆ

สุดท้ายเป็นผักกระทะร้อน

ผักสด หวาน มีกลิ่นซอสญี่ปุ่น แต่จานนี้เราเฉยๆ

แต่พอกินกับเกี๊ยวซ่ามันก็เข้ากั๊นเข้ากันอยู่นะ

กินแล้วแล้วกลับไปนอนตีพุงที่โรงแรมได้

.

วันที่ 7.. วันสุดท้ายก็เดินทางมาถึง 

วันนี้เป็นวันที่ต้องเดินทางกลับแล้ว ยังมีอีกเยอะเลยที่ไมได้ไป

แต่ก่อนกลับวันนี้ก็แวะไปที่ศาลเจ้าเพราะขอพรสักหน่อย

Fukushima Inari Shrine นับเป็นศาลเจ้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองฟุคุชิมะเลยนะ

ศาลเจ้าห่าง Fukushima station ไม่เยอะนัก

จะนั่งรถไปก็ได้ จะเดินไปก็ได้

เห็นได้ชัดว่าสำหรับนุ้ย เลือกเดินแน่นอน  ไม่ใช่เพราะงกหรอก เพราะค่ารถแค่ประมาณ 100 เยน

แต่นุ้ยชอบที่จะเดินดูโน่นนี่นั่น หลายๆ สิ่งที่เราเจอตอนออกเดินทาง

มันสามารถเก็บมาคิด และปรับใช้กับชีวิตของเราได้จริง

อีกอย่างเดินไป Fukushima Inari Shrine ใช้เวลาแค่ประมาณ 15 นาทีเท่านั้น

บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ

มีนกกระดาษเต็มเลย  …

นี่อาจจะเป็นสัญลักษณ์ของแรงอธิษฐานก็ได้เนอะ

และในที่สุดการเดินทางของทริปนี้ ก็ได้สิ้นสุดลง  กลับจากศาลเจ้า

นุ้ยก็ไปเช็คเอ้าท์ ซื้ออาหารกล่องพกไปกินบนรถไฟ  เมื่อถึงโตเกียว หาร้านอาหารอร่อยๆ ทานสักมื้อ

แล้วก็พร้อมบินกลับบ้าน

…….

Fukushima สำหรับเราสองคน

ถ้าจะบอกเพียงแค่ว่ามัน ดี …. คงน้อยไป

เป็นเมืองที่เราไม่ได้คาดหวังมากมายนัก  เพราะเราไปในฤดูที่แตกต่าง

ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวที่เราจะสามารถ

ว้าวกับใบไม้หลากสี ว้าวกับซากุระสีหานๆ หรือว้าวกับหิมะทีี่โปรยปราย

แต่เราสองคนกลับรู้สึกว้าว ในความหลากหลายของ Fukushima

เมืองที่มีครบทุกอย่าง  มีภูเขาไฟ มีออนเซ็น มีหมู่บ้านโบราณ มีสวนผลไม้

มีมิตรภาพดี ๆ มีความเงียบสงบ  เป็นการเดินทางมาท่องเที่ยว ที่เรารู้สึกเหมือนได้พักผ่อนไปในตัว

เราไม่ต้องรีบร้อน เราไม่ต้องเที่ยวจนเหนื่อยในแต่ละวัน

แต่เราสามารถเดินช้าๆ เที่ยวแบบช้า ซึบซับและมีส่วนร่วมกับทุกสิ่งที่เราเจอได้

Fukushima .. เราชอบเธอจัง


ติดตามเรา 

Fanpage : https://www.facebook.com/MyLifeMyTravels

WebSite : www.mylifemytravels.com

Youtube : https://goo.gl/0bnw9a

Instagram: https://goo.gl/G7qsVC

สนใจติดต่องานได้ที่ mylifemytravels@gmail.com

หรือ โทร. 094-5929142

#แฟนพาเที่ยว #mylifemytravel #NuiKaTon #Coupletravelers

 

My Life My Travel

View Comments