หากพูดถึงบุรีรัมย์ …แน่นอนล่ะ ว่าใครก็ต้องคิดถึง ทีมฟุตบอล  สนามแข่งรถ

เมืองนี้กลายเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อด่านกีฬาไปซะแล้ว..

แต่ไปถึงบุรีรัมย์ทั้งที…ให้ไปดูแต่ฟุตบอลตามใจแฟน ผู้หญิงอย่างเราๆ

ก็ดูท่าจะมีอาการงอลกันเกือบทุกรายว่าม่ะ

ทริปนี้….จึงเกิดขึ้นแบบว่า เธอพาแฟนไปเที่ยวนะ … ขอบรรยากาศหวานๆ นิดนึง

เผื่อสาวๆ คนไหน โดนแฟนลากไปดูบอล ถึงบุรีรัมย์ จะได้มีสถานที่หวานๆ ให้โรแมนติกกันบ้าง

 

มีสาระกันก่อนสักนิด  การเดินทางไปบรุรีรัมย์

การไปบุรีรัมย์ว่าไปแล้วไปก็ได้หลายรูปแบบนะคะ

ไม่ว่าจะเป็นรถประจำทาง รถไฟ รถยนต์ส่วนตัว หรือจะนั่งเครื่องบิน

ซึ่งการขับรถไปก็ใช้เวลาไม่มากนัก ประมาณ 5 ชั่วโมง

 

 

แต่สำหรับเราแล้วทริปนี้ เราเลือกที่จะเดินทางด้วยเครื่องบิน เพราะเวลาเราค่อนข้างน้อย

บินแค่ไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงสนามบินแล้วล่ะค่ะ  

โดยมีสายการบินที่บินตรงสู่บุรีรัมย์อยู่สองสายการบิน คือแอร์เอเชีย และนกแอร์

แต่การเดินทางวันนี้นุ้ยเลือกใช้บริการของสายการบินแอร์เอเชีย

ซึ่งแอร์เอเชียจะมีบินตรงสู่บุรีรัมย์วันละ 1 ไฟท์ เวลาในการเดินทางก็ค่อนข้างดี

เหมาะสำหรับคนที่ไปเที่ยว 2 วัน 1 คืนมากๆ

เพราะจากกรุงเทพมีไฟท์เที่ยงไปถึงบ่าย ขากลับก็บินไฟท์ บ่าย  เที่ยวได้ครบวันพอดี

แต่ถ้าให้เราแนะนำเราขอบอกว่า อย่างน้อยต้อง 3 วัน 2 คืน นะคุณ

 

แอร์เอเชียบินในประเทศ เราต้องไปเช็คอินกันที่สนามบินดอนเมือง เทอร์มินอล 2 นะ

เคล็ดลับการไม่ต้องต่อแถว แต่ถ้าหากมีกระเป๋าโหลด

แนะนำให้เช็คอินออนไลน์มาให้เรียบร้อย แล้วมาโหลดกระเป๋าอย่างเดียวนะคะ

เพราะที่นี้จะมีเคาร์เตอร์แยก สำหรับโหลดกระเป๋าอย่างเดียว  รวดเร็วไม่เสียเวลา

 

วันเดินทางเรามาถึงสนามบินเร็วมาก มองหาร้านกาแฟนั่งรอ

ตั้งแต่เปิด เทอร์มินอล 2 มีร้านค้า ร้านกาแฟ และบริเวณให้นั่งเยอะเลย

เราเลือกร้านนี้ อยู่ชั้น 4

 

 

 

 

 

 

 

 

ร้านไม่ได้ใหญ่มาก แต่นั่งสบาย มีปลั๊กเกือบทุกโต๊ะ

ที่สำคัญกาแฟร้อนชาติดี และสำคัญกว่า คือบอร์ดดิ้งพาสแอร์เอเชียลดได้อีก 10%

แพ้ทางการตลาดส่วนลดเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเลยเรา

 

พร้อมแล้วได้เวลาออกเดินทาง วันนี้บินกับลำนี้ มาจอดรออยู่แล้ว

เผลอแปบเดียว ยังไม่ทันได้หลับ ก็ถึงสนามบินบุรีรัมย์ซะแล้ว

ใช้เวลาเพียง 55 นาที

เสน่ห์ของสนามบินบุรีรัมย์คือ เราจะต้องเดินเข้าไปยังอาคารผู้โดยสาร ถ่ายรูปสนุกเลย

แต่โคตรร้อน  ยกระดับความให้ให้ที่นี่เต็ม 10 เลย

สวัสดีบุรีรัมย์ เราเจอกันอีกแล้วนะ

มาเข้าเนื้อหาสาระกันก่อนจะเริ่มออกตะลุย

สนามบินบุรีรัมย์อยู่ที่ อ.สตึก ห่างจากเมืองประมาณ 40 กิโลเมตรเลยทีเดียว 

สำหรับใครที่ต้องการเข้าเมือง ที่สนามบินจะมีบริการรถโดยสายลีมูซีน และรถตู้ (แต่เราไม่แน่ใจเรื่องราคานะค่ะ) 

แต่สำหรับเรา เราเลือกเช่ารถค่ะ  เพราะฉะนั้น

สิ่งแรกที่เราต้องทำก่อนเลยคือการเช่ารถขับ …เราจะยังคงแนะนำเสมอว่า

การเช่ารถขับ นอกจากสะดวกกว่าแล้ว เรายังได้ไปในจุดที่อยากจะไปทุกจุดด้วยค่ะ

เพราะบางจุดรถโดยสารเข้าไม่ถึงจริงๆ

ปัญหาของหลายคนคือ ไม่มีบัตรเครดิต วงเงินมัดจำเยอะ ค่าเช่าแพง

 

ในสนามบินมีอยู่ทั้งหมด 4 เจ้า  Avis  ไทยเร้นท์  กานต์คาร์เร้น และของท้องถิ่นเราจำชื่อไม่ได้

หากใครไม่มีบัตรเครดิตหรือกังวลเรื่องมัดจำ แนะนำกานต์คาร์เร้นค่ะ

เพราะไม่มีการล็อควงเงินมัดจำ จ่ายค่าเช่าเป็นเงินสดได้

แต่สำหรับเราวันนั้นเลือกใช้เจ้าที่มีโปรถูกที่สุดค่ะ ประหยัดไว้ก่อนดีที่สุด

 

หลังจากเราติดต่อเรื่องเช่ารถเรียบร้อยแล้ว สถานที่แรกที่เราไปเที่ยวคือ

ทะเลบุรีรัมย์ค่ะ  ซึ่งอยู่อีกอำเภอหนึ่ง ขับรถไปเกือบ 2 ชั่วโมงแต่คุ้มมาก

ดูได้ที่รีวิวนี้  เพราะเรื่องราวของที่นั้นค่อนข้างเยอะ เราจึงทำรีวิวแยกออกมาอีกหนึ่งรีวิวเพื่อข้อมูลที่แน่น กว่า

http://goo.gl/76lcQz

 

หลังจากกลับมาจากเขื่อน  ด้วยอากาศที่ร้อนมาก

ทางออกที่ดีที่สุด และเหมาะสำหรับคนรักกาแฟ และอะไรที่มันมุ้งมิ้งแบบเรา

คือต้องหาร้านกาแฟน่ารักๆ นั่งดื่มด่ำกับกาแฟ

เราเลือกร้านนี้ค่ะ Library cafe  ร้านตั้งอยู่ที่ Buriram castle (community mall ตั้งอยู่ด้านหลังปราสาทสายฟ้าจ้า)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ร้านค่อนข้างเก๋เลยทีเดียว ทั้งร้านเต็มไปด้วยมุมน่ารักๆ

 

มาแล้วจะถ่ายแต่รูปก็แปลก ๆ จัดไปม็อคค่าแก้วโปรด กับปังเย็น

ไม่รู้ว่าเราชินกับราคาที่บ้านเราที่มันแพงมาก  หรือที่นั้นราคามันถูกมากก็ไม่รู้นะ

เพราะสองอย่างเพียงแค่ 139 บาท เราอ้าปากค้างนิดๆ แอบปลื้มปริ่ม

ชื่อเมนูเต็มๆ คืออะไรเราจำไม่ได้ รู้แค่ว่ามันคือปังเย็น

อร่อยสดใสเหมาะกับอากาศร้อนเป็นที่สุด มาจานใหญ่มาก สูงเกือบเท่าแจกันดอกไม้

จุดเด่นของร้านนี้อยู่ที่นี้ค่ะ ตามชื่อร้าน Library

ที่นี้ตกแต่งร้านคล้ายห้องสมุด มีมุมให้เลือกหยิบหนังสือมาอ่านได้เพลินๆ ระหว่างนั่งอยู่ที่ร้าน

และหนังสือแต่ละเล่มๆ เด็ด ทำเอาอารมณ์นักกวีเข้าสิงสถิตเราเลยทีเดียว

แต่แนวเด็กๆ น่ารัก การ์ตูนญี่ปุ่น ขายหัวเราะก็มีนะ ครบทุกแนว

มาถึงแล้วมุมหวีทๆ ก็ต้องมี ตามสไตล์ทริปพาแฟนเที่ยว  ….

แฟนใครเป็นเหมือนแฟนเรามั่ง … จะถ่ายรูปสักทีต้องบังคับ  แต่พอยอมถ่ายเท่านั้น นางเยอะกว่าเราซะอีก

 

 

 

 

 

 

 

ออกจากร้าน Library เราเข้าที่พักกันก่อนเลย  ไม่อยากจะเม้าท์สักเท่าไหร่

ว่าที่พักเราสวยมาก สวยจนไม่อยากกลับบ้านกันเลยทีเดียว

ที่นี่นะ เหมาะมากๆ สำหรับพาแฟนมา  จะฮันนีมูนยังได้เลย

เราพักที่นี้เลย The Naturalist by Play La Ploen แต่ก่อนเข้าที่พัก ไปนั่งเล่นที่ร้านกาแฟกันก่อน

บอกแล้วว่าหายใจเข้าหายใจออก ต้องกาแฟ

 

เราไปเช็คอินที่พัก แล้ว เรามานั่งเล่นอยูที่ เพลิน cafe เพราะตั้งใจจะเข้าไปในเพลาเพลินก่อน 

เพลิน cafe ตั้งอยู่ด้านหน้าเพลาเพลินนี่แหละ ซึ่งการเดินทางมาที่นี่ไม่ยากเลยห่างจากตัวเมืองประมาณ ครึ่งชั่วโมงค่ะ 

ร้านไม่ได้กว้างมาก ตกแต่งด้วยโต๊ะ และเก้าอี้ไม้ตัวเล็กๆ ผนังสีสดใส 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แต่ก็ยังแอบมีมุมหวานๆ ตามแบบฉบับของเพลาเพลินซ้อนอยู่ 

นั่งพักพอหายเหนื่อย เรารีบเข้าไปเที่ยวด้านใน กลัวไม่คุ้ม อิอิ แอบงกนิดๆ 

ก็ไม่ได้มากันบ่อย ต้องเข้าไปดูให้ทั่ว

ค่าเข้าชมไร่และอุทยานดอกไม้ 

ผู้ใหญ่ 150 บาท  เด็ก 80 บาท  

และสามารถนำบัตรมาเป็นส่วนลดในการซื้อไอติมเจลาโต้ได้ด้วย 

 

แต่สำหรับคนที่พัก เพ ลา เพลิน บูติค รีสอร์ท แอนด์ แอดเวนเจอร์ แคมป์ และ The Naturalist อย่างเรา เข้าฟรีนะจ๊ะ (แต่ไม่เกี่ยวกับสวนน้ำนะ)

เพลาเพลินมีพื้นที่ทั้งหมดกว่า 300 ไร่เลยนะ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน 

ส่วนที่ 1                 เพ ลา เพลิน บูติค รีสอร์ท แอนด์ แอดเวนเจอร์ แคมป์

ส่วนที่ 2                   อุทยานไม้ดอก เพ ลา เพลิน  (FLORA)

ส่วนที่ 3                   ศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตรและปศุสัตว์ฟาร์ม

ส่วนที่ 4                   สวนน้ำ Funny Park

 

แต่วันนี้เราจะนั่งรถไปชมไร่ชมสวนด้านการเกษตร และ อุทยานดอกไม้กัน 

นี่คือยานพาหานะของเรา สำหรับการชมไร่ 

ที่นี่มีทั้งปลูกผักออแกนิก เลี้ยงสัตว์ เปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ และการปฎิบัติจริงภาคสนาม

สำหรับ เยาวชน นักเรียน นักศักษา ที่สนใจ ทั้งภาคเกษตร และปศุสัตว์

มีทั้งองุ่น สตรอเบอรี่  แอบเสียดาย ที่มาไม่ทันเทศกาลองุ่นหวาน เพราะพึ่งเก็บเกี่ยวกันไป 

สตรอเบอรี่ ก็โดนเก็บไปหมดแล้ว

แต่ยังมีเสาวรสอยู่เต็มต้นเลย 

เสาวรสที่นี้จะเป็นพันธุ์หวาน  

เก็บกินจากต้นนี่มันอร่อยได้ฟิวจริงๆ … แม้ว่ามันจะกินยาก แต่เราก็ไม่หวั่น 

แต่ที่ถูกใจมากๆ คือนี่เลย มัลเบอรี่ หรือลูกหม่อนนี่แหละ 

เป็นพันธ์หวาน ที่หวานจริงๆ เราเคยกินแบบเปรี้ยวๆ แต่นี่ไม่มีรสเปรี้ยวเลย 

โดยเฉพาะลูกสีดำ หวานมาก 

แอบได้เคล็ดลับมาว่าถ้าจะปลูกให้ดก  ต้องโน้มกิ่งลง  

ทริปพาแฟนเที่ยวกลายเป็นทริปพาแฟนทำสวนไปชั่วขณะ 

หลังจากกลายเป็นชาวสวนแปบนึง เก็บความรู้เพียบ เอาไปปรับใช้ที่บ้าน 

ไปดูส่วนต่อไปกันค่ะ  เราชอบมาก เพราะส่วนนี้คืออุทยานดอกไม้เพลาเพลิน


แค่ผ่านประตูเข้ามา …เราก็ทึ่งในความสวย

เป็นภาพที่สวยมาก ภาพที่ตราตรึงในใจ

อุทยานดอกไม้เพลาเพลิน  ถูกจัดแสดงขึ้นบนพื้นที่กว่า 100 ไร่ 

แบ่งออกเป็น 6 โรงเรือนด้วยกัน 

โรงเรือนที่ 1 จัดแสดงพันธุ์ดอกไม้เมืองหนาวและดอกไม้ตามฤดูกาล

โรงเรือนที่ 2 ป่าดึกดำบรรพ์

โรงเรือนที่ 3 สีสรรแห่งธรรมชาติ

โรงเรือนที่ 4 เรือนกินรี

โรงเรือนที่ 5 มหาพีระมิด

โรงเรือนที่ 6 เรือนอีสานใต้

เริ่มกันที่โรงเรือนแรกเลย 

จะเป็นพันธุ์ดอกไม้เมืองหนาว และดอกไม้ตามฤดูกาล  อย่างทิวลิปฮอลแลนด์ ลิลลี่ กระเจียว และไฮเดรนเยีย

วันที่เราไปจะเป็นดอกไฮเดรนเยีย และมีพวกกุหลาบพันปี บิโกเนีย

แต่เน้นๆ ที่ไฮเดรนเยีย  คือมันสวยมาก ถ่ายรูปมามันไม่สวยเหมือนของจริง กลิ่นหอมอ่อนๆ 

มีทั้งสีม่วง ชมพู แดง ขาว สวยมาก  มีทั้งพันธุ์ดอกใหญ่ และดอกเล็ก

เอามาให้ดูกันพอเรียกน้ำย่อย อิอิ เพราะมันหลายโรงเรือนเหลือเกิน 


 

 

 

 

 

 

 

เดินออกจากโรงเรือนที่ 1  เราจะได้เจอกับสวนสไตล์อังกฤษ 

มันสวยอะ  เราอยากกลับไปแต่งตัวใหม่ให้เข้ากับสถานที่เหลือเกิน   

 

เดินมาถึงโรงเรือนที่สอง  เป็นป่าดึกดำบรรพ์ ไดโนเสาร์ และเฟิร์น หลากสายพันธุ์

โรงเรือนที่สาม จะเป็นสับปะรดสี และไม้กินแมลง 

โดยจำลองให้มีตัวละคร เหมือนอยู่ใต้ท้องทะเล 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

โรงเรือนที่สี่  เรือนกินรี และพันธ์กล้วยไม้ 

เป็นการจัดแสดง พันธุ์กล้วยไม้ ผูกกับวรรณคดีเรื่องพระสุธนกับนางมโนราห์ 

มีกล้วยไม้หลากสายพันธ์ 

 

 

 

 

 

 

 

 

โรงเรือนที่ห้า  มหาพีระมิด จัดแสดงพืชทะเลทราย ตะบองเพชร หรือแคตัสหลากหลายสายพันธุ์ พร้อมจำลองพีระมิดและสุสานฟาโรห์ 

ตะบอกเพชรหลากสีสัน  

จะเปลี่ยนสีตามอุณหภูมิของอากาศ เก๋ดีนะ พึ่งเคยเห็น 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

โรงเรือนที่หก  เรือนอีสานใต้ 

จัดแสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ศิลปวัฒนธรรมของอีสานใต้ ดอกไม้ประจำถิ่นในเขตเมืองร้อน ได้แก่ หน้าวัวใบ และหน้าวัวดอก

เที่ยวได้แค่สองส่วน ก็หมดเวลาซะแล้ว  … 

เอาเป็นว่าวันแรกพอแค่นี้เราไปดูที่พักกันค่ะ  

เป็นที่เราภูมิใจนำเสนอมาก  มันสวยมาก มากที่สุด ใครชอบดอกไม้ ใครชอบวินเทจ 

ใครชอบแนวหวาน ใครชอบแนวเจ้าหญิง ต้องที่นี่เท่านั้น

“The Naturalist” By Play La Ploen

เข้าไปดูด้านในกันเลย  ห้ามกรี๊ดเสียงดังนะ เดี๋ยวความฟินจะหายไป

มาเจอด่านแรกกันเลย  ล็อบบี้ 

เขาว่ากันว่าความประทับใจแรกพบสำคัญที่สุด 

และที่นี้ทำได้ดีมาก แค่ล็อบบี้ก็ทำเอาเราอ้าปากค้าง  

จะเน้นใช้โทนสีขาว ดูสว่าง และสบายตามาก 

เพิ่มความสดใสด้วยดอกไม้ และสีสันของโซฟา ตัวหรู

และนี่คือหลังจากที่เราผ่านล็อบบี้มา 

มันเลอค่า รู้สึกว่าเราเป็นเหมือนเจ้าหญิงเลย  

แฟนจ้ารับไป 3 จุ๊บ สำหรับที่นี้ เธอทำได้ดีงามมาก เลือกได้โดนมาก 

ผนังรอบด้านจะเป็นกระจก สไตล์กลาสเฮ้าส์  บ้านในฝัน 

ไปเข้าห้องกันเถอะ 

ห้องที่เราพักวันนี้ เป็น Type Suite ชื่อว่า PEONY  PLUM ไปดูกันว่า จะหวานขนาดไหน 

เปิดประตูเข้ามา อ้าปากค้างหนักกว่าเดิม 

สวยมาก หวานมาก แยกห้องนั่งเล่น โต๊ะทานอาหาร และห้องครัวไว้ด้านนอก 

สีน้ำเงินสดใส พร้อมลายดอกไม้ ทำให้ห้องขาวๆ วินเทจๆ ยิ่งดูสวยสดใส

 

เป็นโต๊ะทานอาหารที่สวยมาก อยากให้เห็นรายละเอียดของโต๊ะ รายแกะสลัก

ลายบนโต๊ะที่มีกระจกใสวางขั้น มันสวยหวานจริงๆ 

คุณผู้ชายค่ะ ถ้าคุณมีแฟน ที่นี่จะทำให้คุณได้ใจแฟนไปเต็มๆ

 

สำหรับห้องนอน มันสวยมากจริงๆ ถ้าพร้อมแล้วไปดูพร้อมกันเลยค่ะ 

นี่มันห้องนางฟ้าชัดๆ นี่คือคำพูดเราตอนเดินเข้าห้อง

เสียงตอบกลับจากแฟนตะโกนมาอย่างเร็ว  เว่อร์ไปนะเตง (แต่ดีใจที่เตงชอบ) 

 

 

 

ห้องจะเป็นแบบโล่งๆ เตียงแบบคิงไซด์แสนนุ่ม 

อลังการด้วยหมอน มีอยู่ทั้งหมด 10 ใบ  เอ่อ  พี่ค่ะ นู๋มา 2 คนค่ะ 

ฝาผนังจะเป็นลายกราฟฟิค สีสันสนใส แต่ยังแฝงไว้ด้วยความหวานของดอกไม้ และสีชมพูแสนโปรด 

และค่ำคืนนี้ก็เป็นค่ำคืนแสนหวาน สุดโรแมนติค และหวานที่สุดเท่าที่เคยเจอ 

ทำไมรู้สึกนอนได้แปบเดียว สว่างแล้วละนี่ 

อ้อ ….  ก็เขาบอกว่า เวลาของความสุขผ่านไปเร็วเสมอ 

มุมน่ารักๆ ปลายเตียง เรียกความสดใสยามเช้าได้ดี 

วิวยามเช้าจากห้องพัก เรียกความกระปรี่กระเปร่า วันนี้เราจะไปลุยแอดเวนเจอร์กัน 

และไปตะลุยเมืองบุรีรัมย์แบบหวานๆ กัน 

ความรักต้องเดินด้วยท้อง 

 กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ไปทานอาหารเช้ากันก่อน 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

นอกจากบุพเฟ่ต์แล้วยังมีอาหารพิเศษ อย่างไข่กระทะ และก๋วยจั๊บญวณด้วย  

เช้านี้เติมพลังกันเรียบร้อยแล้ว เราไปเดินเล่นในเพลาเพลินกันต่อ เมื่อวานยังไม่ได้ไปอีกหลายจุดเลย

เริ่มกันจากบ้านลูกจีน 

เป็นที่เก็บของสะสมของเจ้าของที่นี้ค่ะ มีของมีค่าเยอะแยะมากมาย 

ทั้งมีค่าด้วยทรัพย์ และมีค่าด้วยความรู้สึก  

ชุดเก้าอี้ชุดนี้เป็นของเก่าแก่จากเมืองจีนเลยนะ 

 

เรือสำเภาหยก  มีทั้งลำเล็กและใหญ่ มีทั้งหยกเขียวและหยกเหลือง

 

รูปปั้นเหล่านางฟ้า  จากตำนานเจ็ดนางฟ้า และหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า

ใกล้ๆกันจะเป็นกาลครั้งหนึ่งแกลลอรี่ 

นิทรรศการที่แสดงถึง “วิถีชีวิต วิถีไทย”

เพื่อให้ผู้ชมได้ทราบถึงวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม ประเพณี ความคิด การใช้ชีวิตของคนรุ่นเก่าในอดีต

มีของเก่าๆ คลาสสิคเพียบเลย 

โคมไฟสุดคลาสสิคเต็มไปด้วยเลย สวยๆ ทั้งนั้น 

นอกจากโคมไฟยังมีข้าวของเครื่องใช้อีกหลายอย่าง

บางอย่างเคยเห็นแต่ไม่เคยใช้ บางอย่างเกิดมาก็พึ่งเคยเห็นนี่แหละ

มีไมค์โครโฟนของคุณสุรพล  สมบัติเจริญด้วย 

นอกจากของเก่าๆ แล้วยังรวบรวมศิลปะวัฒนธรรมประเพณี เรื่องราว วิถีชีวิต ไว้อีกด้วย

 

ที่นี่เขามีงานวัดด้วยน๊าา

รอไรอยู่ละ เรามันนักแม่นปืนซะด้วย

แป๋ววว  ยิงไม่โดนสักกะลูก 

 

อันนี้น่าจะถนัดกว่า ตักลูกไข่  

ที่อื่นเขาเรียกว่าอะไรหว่า  บ้านเราเรียกตักลูกไข่  มาตั้งแต่เด็ก 

มุมผู้หญิงรักเด็ก รักสัตว์ของเราก็มีน๊าา 

มีฟาร์มแกะและแพะเล็กๆ อยู่ด้วยน๊า

บางครั้งเราก็เริ่มแยกไม่ออกระหว่างแกะกับแพะ  ถ้าแกะที่ไม่มีขน มันเหมือนแพะเลยนะ

เจ้าสองตัวนี้คือตัวอะไรแล้วอ่ะ เราลืม  

ทีเมื่อกี้บอกว่ารักสัตว์ 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ต่อไปลุยกันต่อที่กิจกรรมแอดเวนเจอร์ 

มีทั้งหมด 4 ฐาน แต่กิจกรรมแอดเวนเจอร์คิดราคาแยกนะค่ะ ฐานละ 70 บาท ถ้าเล่นครบทั้ง 4 ฐานจะเหมาราคา 200 บาท 

ราคานี้ไม่แพง พร้อมลุย 

ฐานแรก   The Great Wall of China

หรือเรียกง่ายๆ ว่ากำแพงเมืองจีน 

ด่านที่2 Eiffel Tower 

จิ้งจอกเหินเวหา เป็นการโหนสลิงข้ามน้ำ 

ด่านที่ 3  Pisa Leaning Tower โรยตัวลงจากหอ 


สุดท้าย Tower Bridge

ไต่สะพานเชือกข้ามลำน้ำ พลาดมีตกนะคุณ 

กิจกรรมหวาดเสียว เป็นของคุณผู้ชายไปแล้ว อิอิ เหนื่อยๆ ร้อนๆ 

เราไปกินไอติมรอกันเถอะ ที่นี่มีไอติมเจลาโต้ด้วย อร่อยมาก

เป็นร้านเล็กๆ ที่เราไม่ควรพลาดเลยจริงๆ 

 

 

 

 

 

 

 

 

ไอศครีมทุกตัวทำมาจากผลไม้ในไร่ทั้งหมด อร่อยทุกรส  

เราชอบรสองุ่น รสไวน์สตรอเบอรี่ รสมัลเบอรี่ กุหลาบก็หอมหวาน ชอบจะครบทุกรสล่ะ กินกันจนลิ้นชา ถ้วยละ 25 บาทเอง 

เอาเป็นว่าจบทริปในเพลาเพลินไว้แค่นี้ดีกว่า เดี๋ยวเราจะจูงมือแฟนไปกินลูกชิ้นกันที่ในเมือง 

อยู่ในเพลาเพลินจนถึงเที่ยงแอบหิวเล็กๆ เรารีบบึ่งรถเข้าเมือง ก็มองหาว่าจะกินอะไรดีน๊า 

ได้ข้อสรุปว่าเอาร้านง่ายๆ ขอแอร์เย็น เพราะช่วงกลางวันร้อนตับแตกจริงๆ 

ปรากฎว่าได้ร้านนี้ cafe de bu อยู่หน้าโรงแรมธาดาชาโตว์

บรรยากาศร้านประมาณนี้ 

วันนี้โล่งๆ สบายๆ ชิลเราเลย  เลือกที่นั่งได้เต็มที่ 


 

 

 

 

 

 

 

อาหารก็เน้นเมนูจานเดียวแบบง่ายๆ ค่ะ 

จานนี้ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ สำหรับเรา เราว่ามันกลางๆ นะ ไม่มีซอสเฉพาะ เคยกินร้านอื่นจะมีซอสเฉพาะอร่อยกว่านี้ 

ข้าวไข่ข้นหมูทอด  หมูทอดอร่อยหอมนุ่ม รสกำลังดีเลย

 

ปรากฎว่าอาหารสองจานนั้น ไม่สามารถเอาความหิวของเราอยู่ได้

เราไปต่อกันที่ลูกชิ้นยืนกิน

มีคนบอกว่ามาบุรีรัมย์ ต้องไปกินให้ได้ และต้องยืนกินเท่านั้น (ห้ามนั่ง ห้ามนอน ) ไม่งั้นไปไม่ถึงบุรีรัมย์นะคะ

บอกพิกัดกันสักนิด ร้านลูกชิ้นจะมีเยอะแยะมากมายหลายร้านเลยค่ะ เรียงรายกันอยู่หลังสถานีรถไฟบุรีรัมย์ 

เจ้าดังคงเป็นเจ้าเจ๊นก  แต่วันที่นุ้ยไปเจ๊นกแกปิด นุ้ยก็เลยกินเจ๊นิด อร่อยเหมือนกัน 

มันเด็ดตรงน้ำจิ้ม และจิ้มกันสดๆ ยืนกินกันหน้าร้านนี่แหละ 

อีกอย่างราคาถูกมาก ไม้ละ 3 บาท 7 ไม้ 20 บาท 

ราคานี้ยังมีขายอยู่นะ 

บอกเลยนะจุดนี้ฟิน ไม่ได้เช็คอิน มาไม่่ถึงนะค่ะ 

 

จะว่าไปวันนี้เรายังไม่ได้กินกาแฟเลย  ต้องมองหาสักร้าน 

ไม่งั้นเดี๋ยวจะเหวี่ยงวีนได้ง่่ายๆ บอกแค่นั้นจริงๆ แล้วชายต้นก็รีบขับรถมองหาร้านเลยค๊า

ไม่ได้รักแฟนนะ  แต่กลัวโดนวีน 

เราไปนั่งเล่นกันที่ร้านนี้ A Day Awesome  ร้านอยู่กลางๆ ซอยแสนสุข

เอกลักษณ์ของร้านนี้คงอยู่ต้นจามจุรีต้นใหญ่ยักษ์ต้นนี้ 

ช่วยให้ร่มเงาได้ดีมาก 

เป็นร้านเล็กๆ ตกแต่งน่ารักๆ ง่ายๆ 


มาแล้วก็จัดซะให้หายอยาก คนอื่นกินกาแฟแก้ง่วง 

แต่เรากินกาแฟ แก้หิว ไม่ใช่ 

กินเพราะอยากกิน หรือเราติดกาแฟหว่า

เค้กที่ดูหน้าตาธรรมดาๆ  แต่รสชาติดีเลยนะ เนื้อนุ่มมาก หอมกาแฟ หวานไม่มาก ติดรสกาแฟนิด ๆ

เอาซี้ หน้าห้องน้ำก็หวานได้ค๊าคุณ 

….ทุกทีแค่มีเราอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็มีความสุข 


นั่งเล่นกันจนเกือบเย็น 

เราตั้งโจทย์ว่า ต้องได้ดูพระอาทิตย์ตกน๊าา  

แทนที่จะได้คำตอบ แต่ได้คำถามกลับมา … ทำไมไม่ดูที่บ้าน ที่บ้านเคยดูมั๊ย

อารมณ์นี้ยิ้มหวานเท่านั้น อ้อนเข้าไว้ แล้วเราจะเป็นผู้ชนะ 

และแล้วเราก็ได้ดูพระอาทิตย์ตก 

 

เราขับรถไปชิลกันที่ห้วยจระเข้มาก เป็นอ่างเก็บน้ำ

ที่ยามเย็นอากาศดีมากๆ  มาที่นี้นอกจากได้ดูพระอาทิตย์ตก ได้รับอากาศดีๆ 

ยังได้สัมผัสวิถีชีวิตชาวบุรีรัมย์ด้วย

มุมแบบนี้ห่างจากเมืองมาเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น 

แต่เอาเข้าจริง ได้ดูมั๊ยพระอาทิตย์นะ  

เอาแต่ถ่ายรูปเล่น 

เอาตะวันมาเป็นข้ออ้าง …เพื่อให้เราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตังหากละ 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เราว่าห้วยจระเข้มาก เป็นอีกที่นึงที่เราชอบมากๆ เลยนะ 

เพราะอากาศดี เงียบสงบ แนะนำเลยนะใครพาแฟนมาที่นี่ นั่งดูตะวันตกตอนเย็น นี่โรแมนติกสุดๆ

อาทิตย์ขอบฟ้าหายไป  เราก็กลับเข้าเมืองอีกรอบ  

ต้องมองหามื้อดินเนอร์  ค่ำคืนแบบนี้  

แต่อยู่ๆ แม่เจ้าดินเนอร์ตลาดโต้รุ่ง ..แอบทำหน้าบูดนิด ๆ 

แต่การได้เห็นคนเข้าแถวกันยาวขนาดนี้ อารมณ์เปลี่ยน อยากรู้อยากกินขึ้นมาทันทีทันใด

ร้านเต้าส่วนเจ๊ตุ่ม ที่ใครๆ ก็บอกว่าอร่อย ใครมาก็ต้องมากิน ทั้งร้านขายแต่เต้าส่วนอย่างเดียว 

โอ้วขายดีสุดๆ มาช้าอดกินด้วยนะ ร้านนี้ปิดทุกวันอาทิตย์ และวันพระค่ะ 

หลังจากที่ได้ลองแล้วติดใจ  มันอร่อยสมคำล่ำลือ แต่ปาท่องโก๋นั่นของร้านอื่นนะคะ

เราไปซื้อมาใส่ กินด้วยกันก็อร่อยแแปลกดีนะ 

เห็นโต๊ะข้างๆ เขากินแบบนี้เลยกินตาม 

ชามละ 20 บาท อร่อยคุ้มสำหรับการรอคอย 

และมื้อดินเนอร์จริงๆ ของเราก็มาถึง 

เราแวะไปทานอาหารกันที่ร้าน Klim kitchen ตรงข้ามกับสถานีรถไฟ

บรรยากาศในร้านสวยเลยทีเดียวค่ะ

ตกแต่งด้วยไม้เกือบทั้งหมด ผนัง โต๊ะ เก้าอี้ 

 

 

 

 

 

 

 

อาหารก็มีหลากหลายมาย ทั้งไทย ทั้งเทศ  

ทั้งจานเดียวและแบบกับข้าว  มื้อนี้รับจัดมาแค่คนละอย่าง 

ท้องไม่สามารถรับไหวมากกว่่านี้ เพราะจานใหญ่มาก ส่วนเรื่องราคาก็สูงขึ้นมานิดนึงอะ

จานนี้ถ้าจำชื่อไม่ผิด ยำปูนิ่มทอดกรอบ 

แซ่บมาก เปรี้ยวจี๊ดถึงใจ ปูนิ่มให้เยอะมาก 

จานที่สองเป็นสลัดเนื้ออะไรสักอย่าง น้ำสลัดอร่อยดีค่ะ 


 

 

 

 

 

 

 

ปิดท้ายคืนนี้ด้วยการไปดูบอล  

….จะไปปดูบอลอะไรตอนนี้ สนามเข้าไม่ได้แล้ว เอาไว้รีวิวหน้า

จะมารีวิวสนามบอลก็แล้วกันเนอะ  สรุปแฟนเราโดนหลอกให้พามาเที่ยว

วันที่เราไปบุรีรัมย์ ไม่มีแข่งนะจ๊ะ แฟนจ้า 

และเป็นอีกคืนที่เรากลับมานอนที่ The Naturalist by Play La Ploen กลับมาถึงซะดึก 

แทบจะไม่ได้ซึบซับกับความหวาน 

แต่ตื่นเช้ามาขอจัดเต็มก่อนการเดินทางกลับ สวยทุกมุม 

ทริปนี้เรายังรู้สึกว่าขาดๆ เรายังรู้สึกว่าบุรีรัมย์ยังมีอะไรอีกเยอะ 

เราแค่สโลว์ไลฟ์มากไป กินมากไป เอาแต่ใจมากไปนิด 

ทริปหน้ามาบุรีรัมย์ จะมาให้หลายวันกว่านี้ เพราะเมืองนี้ยังมีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะ

ยังมีมุมให้เราหลอกแฟนไปเที่ยวได้อีกเพียบ ….. 

 

และถ้าเปรียบการเดินทางกับความรัก 

เราว่าคงเหมือนกับที่ความสุขระหว่างทาง ความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าปลายทางจะเป็นอย่างที่ตั้งใจหรือไม่ ไม่เป็นไร 

เพราะตลอดทางที่เดินร่วมทางกันมา เรามีความสุขที่ทำให้ทุกอย่าง ทุกวัน ทุกเวลาเต็มที่แล้ว 

ถ้าปลายทางเป็นอย่างที่ตั้งใจ  นั่นคือรางวัลพิเศษ  

 

 

รักใครให้พาออกไปเที่ยวนะค่ะ ..เปลี่ยนสถานที่บ้าง เปลี่ยนมุมมองบ้าง 

สถานที่ไม่ต้องหรู กินไม่ต้องแพง เพราะความสุขมันอยู่ที่ เราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน

 

เพื่อนๆ สามารถติดตามข่าวสารหรืออัพเดทสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ของบุรีรัมย์

ได้ด้วยการ โหลด Mobile App ของ  Go2Buriram และ Buriram Magic

 

 

 

 

 

 

 

 

สุดท้าย และ สุดท้าย
ขอขอบคุณทุกๆ การเดินทางที่สอนให้เราได้เรียนรู้ และรู้สึกรักทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็น
ขอบคุณสำหรับทุกไลค์
ขอบคุณสำหรับทุกแชร์
ขอบคุณทุกคนที่แวะเวียนเข้ามา
ขอบคุณพื้นที่การแบ่งปันแห่งนี้

และขอบคุณการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์

 

————————

 

และสามารถติดตามทุกการเดินทางของเรา คู่รักติงต๋อง ได้ที่นี้ค่ะ 

https://www.facebook.com/MyLifeMyTravels/

https://www.instagram.com/mylifemytravel/

 

My Life My Travel