วันพฤหัสบดี, 30 มกราคม 2568

Sendai สักครั้งในชีวิต

ทุกครั้งที่ได้เดินทางไปที่ใหม่ๆ เมืองใหม่
ใจมันจะเต้นแรงกว่าปกติ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน …
แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกของการเดินทางไปญี่ปุ่น
แต่เป็น
ครั้งแรกของเมืองนี้ “Sendai”
ครั้งแรกที่สามารถทำให้เราตกหลุมรักได้
ครั้งแรกที่ทำให้เรารู้สึกอยากกลับไปอีก
.
ทริปนี้จะเป็นทริป 5 วัน 4 คืน กับเซนได และเมืองรอบๆ ที่เราสองคนรู้สึกว่ามันยังไม่พอ ความสวยของธรรมชาติ ความอร่อยของอาหาร และความงดงามของสถาปัตยกรรม
….
#การเดินทางจากไทย

นุ้ยกับต้นใช้บริการของ สายการบินไทย เพราะตอนนี้เขาเปิดบริการเส้นทาง กรุงเทพ – เซนได
– บินตรง กรุงเทพฯ-เซนได สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน
– จากกรุงเทพ มีทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์
– จากเซนได มีทุกวัน พุธ ศุกร์ และอาทิตย์

ทำให้การเที่ยวเซนไดของเราง่ายมากขึ้นประหยัดเวลาในการเดินทางมากขึ้น และยังเซฟค่า pass ไปได้อีก
จองเลย : https://bit.ly/352t3ZT

 

 

เรามาเริ่มที่สาระกันสักหน่อย
เซนไดเป็นเมืองในจังหวัดมิยางิ ภูมิภาคโทโฮคุ เป็นเมืองศูนย์กลางของภูมิภาคเลยก็ว่าได้ การเดินทางไปเซนได นอกจากได้เที่ยวเซนได้แล้ว ยังทำให้เราสามารถเที่ยวเมืองใกล้เคียงได้สะดวกมากขึ้น
ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยงในทริปนี้ของนุ้ยกับต้น มีตามนี้เลย

Fukuura Island
Godaidō Temple
ตลาดปลาชิโองามะ (Shiogama Fish Market)
ถนนช้อปปิ้ง Clis Road – Ichibancho
ถนนโจเซนจิ โดริ (Jozenji Dori)
ปราสาทอาโอบะ Sendai Aoba Castle
Osaki Hachimangu Shrine
Michinoku Park
ปล่องภูเขาไฟ Okama
Zao Fox Village หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกแห่งซาโอะ
Ginzan Onsen
วัดยามาเดระ(Yamadera)
น้ำตกอะคิว โอตากิ (Akiu Otaki)

 
การเดินทางจากไทย
นุ้ยกับต้นใช้บริการของ สายการบินไทย เพราะตอนนี้เขาเปิดบริการเส้นทาง กรุงเทพ – เซนได
บินตรง กรุงเทพฯ-เซนได สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน
จากกรุงเทพ มีทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์
จากเซนได มีทุกวัน พุธ ศุกร์ และอาทิตย์
ทำให้การเที่ยวเซนไดของเราง่ายมากขึ้นประหยัดเวลาในการเดินทางมากขึ้น และยังเซฟค่า pass ไปได้อีก
จองเลย : https://bit.ly/352t3ZT

 

 

นุ้ยขอแบ่งการเที่ยวในทริปนี้ ออกเป็น 4 วันเนอะ มีครบทุกรสค่ะทั้งนั่งรถบัส นั่งรถไฟ และเช่ารถขับ
วันแรกนุ้ยเน้นเที่ยวในตัวเมืองเซนไดค่ะ โดยรถบัสนำเที่ยวรอบเมืองเรียกว่า รถบัส Loople Sendai สามารถซื้อเป็นพาส หรือจ่ายแบบต่อครั้งก็ได้ ส่วนนุ้ยซื้อเป็นพาส แบบวันเดย์นะคะ ราคาคนละ 630 เยน จะขึ้นลงกี่ครั้งกี่ป้ายก็ได้ รถบัสคันแรกออกจากสถานีเวลา 09:00 และ คันสุดท้ายเวลา 16:00 โดยจะออกทุก 15-20 นาทีต่อคัน สามารถไปซื้อพาส และเริ่มขึ้นรถได้บริเวณชานชลารสบัสที่ 6 หน้าสถานีเซนได

จุดจอดจะมีทั้งหมด 16 จุด ตอนซื้อพาส จะมีแผนที่ แนะนำจุดจอดว่าแต่ละจุดมีที่เที่ยวอะไรบ้าง ของนุ้ยแวะไม่กี่จุดค่ะ เน้นไปแบบเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักไรงี้
เริ่มกันที่จุดเบอร์ 6 ปราสาทอาโอบะ หรือ ปราสาทเซนได ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1600 โดยดาเตะ มาซะมุเนะ ผู้ก่อตั้งเมืองเซนได และใกล้ๆ กัน ยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าโกโคขุ และพิพิธภัณฑ์ปราสาทอาโอบะ
.
ในรูปคือ รูปปั้นของ ท่านดาเตะ มาซามุเนะ เป็นสัญลักษณ์ของเมืองเซนไดและปราสาทอาโอบะ

 

และจุดนี้ยังเป็นจุดที่ทำให้เราเห็นวิวเมืองเซนไดในมุมสูงอีกด้วย

 

 

 

 

ศาลเจ้าโอซากิฮาจิมังกุ Osaki Hachimangu Shrine
อยู่ที่จุดจอดรถเบอร์ 12 ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยท่าน ดาเตะ มาซามูเนะ ผู้ก่อตั้งเมืองเซนไดนั่นเอง เป็นศาลเจ้าที่นับได้ว่าเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเลย และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นอีกด้วย

 

 

 

 

 

 

ต่อมา จุดจอดรถเบอร์ 15 ถนนโจเซนจิ โดริ (Jozenji Dori) เป็นย่านเมืองเก่าของเมืองเซนได เมืองที่ได้รับขนานนามว่าเป็น เมืองแห่งต้นไม้ จากจุดนี้เราสามารถเดินไปเรื่อย จนถึงถนนสายช้อปปิ้ง Cris road ได้เลย

 

สุดท้ายจุดจอดที่ 16 ถนนคลิสโรด CLIS ROAD แต่เอาจริงคือนุ้ยเดินมาเรื่อยจากจุดที่ 15 มันก็ชิลล์นะ มีร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้าทั้งแบบทั่วไปและแบรนด์เนมเต็มไปหมด เพลินดีค่ะ
ถนนคลิสโรด CLIS ROAD เป็นถนนที่บรรจบกับ Ichibancho เรียกได้ว่าเป็นถนนสายช้อปปิ้งกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุเลยนะ

 

 

 

ขอปิดท้ายของวันแรกกันด้วยเมนูแนะนำ และร้านเด็ด ของเมืองเซนไดกันค่ะ จะแอบบอกว่าพิกัดของอร่อยไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลย อยู่ที่ในสถานีรถไฟเซนไดนั่นเอง  เริ่มกันที่ร้านลิ้นวัว เขาบอกว่าถ้ามาเซนไดแล้วไม่ได้กินลิ้นวัวคือมาไม่ถึง แล้วเราจะพลาดได้ไง เราแนะนำร้านนี้ ชื่อว่า Tanya Zenjirou มีหลายสาขา แต่เราไปกินที่สถานีเซนได ชั้น 3 บริเวณเดียวกันมีอยู่หลายร้าน ร้านนี้คิวยาวสุด แต่นุ้ยกับต้นการันตีความอร่อยค่ะ คุ้มค่าการรอ

 

 

 

เมนูในร้านจะมีแค่ลิ้นวัวย่างและข้าวแกงกะหรี่ ลิ้นวัวจะมีแบบธรรมดา และแบบพรีเมี่ยม แนะนำว่าจัดพรีเมี่ยมเลยค่ะ นุ้ยกับต้น ลองสั่งมาทั้ง 2 แบบ แบบพรีเมี่ยมอร่อยกว่าเยอะมาก เนื้อสัมผัสคือ หนา นุ่ม กรอบๆ กรึบๆ อธิบายยาก แต่สรุปได้ว่าอร่อย

 

และสิ่งที่ต้องกินอีกอย่างเมื่อมาถึงเซนไดคือ Zunda หรือถัวแระญี่ปุ่น โดยเฉพาะร้านนี้ มีหลายสาขามาก นุ้ยว่าอร่อย หรืออาจจะเป็นเพราะชอบถั่วอยู่เป็นทุนเดิม แต่อร่อยจริงๆ นะ ชอบๆ

 

 

วันที่ 2

วันนี้เราเที่ยวด้วยรถไฟ และเดิน ปลายทางอยู่ที่เมือง Matsushima เป็นเมืองริมทะเล นั่งรถไฟจากเซ็นไดใช้เวลาเกือบๆ ชั่วโมงก็ถึงแล้วค่ะ

 

ปลายทางแรกของเมืองนี้คือตลาดปลาชิโองามะ (Shiogama Fish Market)
กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องเป็นเรื่องปกติ ถ้ากินไม่อิ่มจะไม่มีแรงเดินจริงมั้ย
เวลาเปิด – ปิดของตลาด
วันธรรมดา 3:00-13:00 / วันเสาร์ 3:00-14:00
วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 6:00-14:00
วันปิดทำการ: ทุกวันพุธ
การเดินทาง นั่งรถไฟลง
Higashi-Shiogama Station แล้วเดินต่ออีกประมาณ 15 นาที

 

 

 

Shiogama Fish Market ในตลาดมีร้านค้ากว่า 140 ร้าน แต่ละร้านจำหน่ายอาหารทะเลสด และอาหารแปรรูป ที่ห้ามพลาดคือ หอยนางรมมัตสึชิมะ(matsushima oysters)

 

สิ่งที่นุ้ยชอบมากคือ การ DIY ข้าวด้งด้วยตัวเองจ้า เรียกให้ดูเก๋ว่า DIY
จริงๆ แล้วตลาดเขามีคอนเซ็ปต์ให้เราทำ My Kaisen don หรือข้าวหน้าปลาดิบรวม โดยการไปเดินช้อปอาหารทะลในตลาดมาได้เลย ตามแบบที่เราชอบ แต่ละร้านจะทำเป็นแพคเล็กๆ ราคาเริ่มต้นตั้ง 100 เยน จนถึง หลายพันเยน ชอบแบบไหนก็เลือกหยิบมาเลย เสร็จแล้วให้เดินไปท้ายตลาด เราจะเจอโต๊ะ มากมาย ซึ่งเป็นร้านขายข้าว น้ำซุป และเครื่องดื่ม รวมทั้งโซนปิ้งย่าง ไว้บริการ

 

 

และนี่คือสิ่งที่พกวเราซื้อมาค่ะ อูนิคือสวรรค์มากๆ กุ้งหวานมีหลายไซต์หลายแบบ ปลื้มปลิ่ม ส่วนหอยนางรมตัวใหญ่มาก ราคาตัวละ 250 เยนเอง

 

หลังจากซื้อข้าวแล้ว ก็มาจัดการกับ My Kaisen don ของเรา

นุ้ยชอบมาก ชอบที่ได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น แล้วทำอะไรเหมือนที่คนญีปุ่นเขาทำ เป็นการเรียนรู้วัฒนธรรมบ้านเขา และชอบที่เห็นคนญีปุ่นตั้งใจการการทำ My Kaisen don ของตัวเองมาก ดูแล้วน่ารักดี

 

 

เสร็จจากเรื่องกินเรากลับไปขึ้นรถไฟ และนั่งต่อไปยังสถานี Matsushimakaigan Station มาถึงที่นี่เริ่มคึกคักผู้คนมากมาย ย่านนี้จะมีร้านปิ้งย่างหอยนางรมเยอะมาก

 

และมีโซนเอ้าดอร์ ริมทะเลแบบนี้ด้วย

 

เดินเล่นในย่านนี้กันไปเรื่อยๆ จนไปถึง Godaido Temple เป็นวัดเล็กๆ บนเกาะเล็กๆที่มีสะพานแดงเชื่อมระหว่างเกาะ กับฝั่ง เป็นที่ประดิษฐานของเทวรูป 5 องค์

 

เดินเล่นไปอีกจุดคือ Fukuura Island จะมีสะพานแดงยาวประมาณ 252 เมตร เชื่อมไปถึงเกาะ มีค่าเข้า 200 เยน เดินเล่นถ่ายรูปสวยค่ะ เน้นดูแมกไม้ยาวไป

 

 

วัด Entsuin Temple

 

และสุดท้ายมาติดกับดักกันอยู่ที่ร้าน Senshin-an ใกล้ๆ กับวัด Entsuin Temple

 

นั่งรับลมชิลล์ บรยากาศสวยญี่ปุ่นนั่งกินขนมโมจิถั่วแระ คือดีต่อใจ หน้าตาไม่สวยงาม แต่รสชาติอร่อยค่ะ

 

 

 

 

 

วันที่ 3 แล้วจ้า
ต่อจากนี้เราจะเราเข้าสู่การเช่ารถขับแล้วค่ะ เพราะแต่ละจุดไกลกันพอสมควร และเราก็เป็นพวกที่ค่อนข้างเอื่อยๆ และเรื่อยๆ ถ้านั่งรถไฟ อาจจะไปได้ไม่ครบ ที่อยากไป และมันทำให้เราเร่งรีบ จนไม่สนุก

เริ่มกันที่ Michinoku Park หรือ สวนมิจิโนะคุโมริโนะโคะฮัง เป็นอุทยานแห่งชาติเพียงแห่งเดียว
ในภูมิภาคโทโฮคุเลยนะ ในสวนจะมีหลายโซนมาก มีดอกไม้ตามฤดูกาล มีสวนสนุกของเด็ก มีลานให้ตั้งแคมป์ปิ้งย่าง
มีค่าเข้าคนละ 450 เยน

 

 

 

 

ชอบการปิกนิกของคนญี่ปุ่น อากาศดี กับการปิกนิกปิ้งย่างมันดีต่อใจ ที่นี่มีเตาและถ่านเตรียมไว้ให้ด้วยนะ

 

ขับรถต่อไป ปล่องภูเขาไฟ Okama ตอนดูในรูป ก็คิดกันหลายรอบมากว่า เราจะไปกันจริงเหรอ ไปทำไม แต่พอไปถึงจริง สถานที่สวยมาก ทางขึ้นเขาสวยมาก สวยตั้งแต่ระหว่างทางเมื่อไปถึง สถานที่ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง อากาศหนาวสุดในทริปเลยทีเดียว
ที่นี่จะมีค่าเข้าสถานี 550 เยน ต่อรถ 1 คัน น่าจะเป็นค่าที่จอดรถ

 

 

สุดท้ายของวันนี้ หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกแห่งซาโอะZao Fox Village เป็นปลายทางที่พวกเราตั้งใจมาก
น้องน่ารักมาก แนะนำให้มาช่วงใบไม้เปลี่ยนสี และหิมะ เพราะขนของน้องจะฟูหนา โดยเฉพาะในช่วงหิมะ น้องจะน่ารักมากๆ
มีค่าเข้าคนละ 1,000 เยน

 

 

วันที่ 4 ของทริป วันนี้เรายังคงเช่ารถขับเหมือนเดิมจ้า เริ่มที่ น้ำตกอะคิว โอตากิ (Akiu Otaki ) สามารถตั้งพิกัดใน google map ได้เลย สามารถเข้าได้ฟรีด้วยน๊า มีลานจอดรถกว้างพอสมควร แต่จะมีจุดจอดรถ 2 จุด จุดแรกเราจะสามารถเห็นน้ำตกจากมุมบน ถ้าจะเดินไปด้านล่างไกลมากๆ ให้เราไปจอดตรงใกล้ๆ สะพาน สามารถเดินลงไปดูน้ำตกด้านล่างได้ใกล้ขึ้น

 

 

 

 

 

วัดยามาเดระ(Yamadera) เป็นวัดสวยบนเนินเขา ตั้งอยู่ที่เมือง เมืองยามากาตะ มีอายุมากกว่า 1,000 ปี ทางเดินขึ้นจะมีหลายทางนะคะ แต่ทุกทางจะผ่านทางเข้าจุดจ่ายเงินทางเดียวกัน มีค่าเข้าคนละ 300 เยน เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 8.00-17.00 น

 

 

 

ใช้เวลาในการเดินขึ้นไปประมาณ ครึ่งชั่วโมง

 

เหนื่อยหน่อย แต่คุ้มอยู่น๊า เห็นวิวเมืองในหุบเขา

 

 

สุดท้ายของทริปนี้ Ginzan Onsen รักมาก ชอบมาก จะต้องกลับมานอนที่นี่ให้ได
ที่นี่เป็นหมู่บ้านออนเซ็นเล็กๆ กลางหุบเขา อายุกว่าร้อยปี เดิมที หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านเหมืองแร่มาก่อน

 

แอบเสียดายที่เรามีเวลาที่นี่น้อยมากๆ

 

 

 

เดินไปท้ายหมู่บ้านมาทางเดินขึ้นเขา และมีน้ำตกด้วย ชอบที่สุ